วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 9

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 9

หลังจากส่งศาสตราจารย์โมฮัมหมัดขึ้นอูฐไปกับพวกเบดูอินเรียบร้อย ชารีฟและการิมกลับมาที่รถนายทหารคนสนิทอดถามไม่ได้ว่าที่พูดเมื่อสักครู่ว่าจะไม่มีการผ่าตัด หมายความตามนั้นจริงหรือ

“อย่างที่พูด...องค์โอมานรู้แผนการของเราทั้งหมดแล้ว”

“อะไรนะ ท่านว่าอะไรนะ” การิมร้องเอะอะ ชารีฟอธิบายให้ฟังทุกอย่างดูง่ายดายเกินไป และยิ่งได้ฟังรหัสตอนส่งวิทยุยิ่งแน่ใจว่าเป็นกับดัก การิมไม่เข้าใจ ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วทำไมยังจะเดินตามแผนการเดิมอยู่อีก เขาไม่เห็นทางอื่นที่จะเข้าถึงตัวองค์โอมานได้ และที่สำคัญองค์อาหเม็ดอาจจะยกพลไปถึงเมืองโฮไดดะแล้วก็ได้ การิมเกรงว่าชารีฟจะถูกจับทันทีที่ย่างเท้าเข้าฮิลฟารา

“องค์โอมานจะไม่ฆ่าเราทันที เราหนีพระองค์ได้กลางทะเลทราย นั่นจุดความแค้นยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นจะไม่ดีรึที่พันเอกชารีฟ คนที่ลอบปลงพระชนม์องค์อาหเม็ดย้อนรอยกลับมาอีกครั้ง องค์โอมานต้องป้องกันบัลลังก์ด้วยการต่อสู้อย่างลูกผู้ชาย และพระองค์ก็จะประหารเราอย่างลูกผู้ชาย”

“อย่างไรรึ”

“พระองค์ต้องการปักมีดบนหัวใจของเราด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เออ...มีดวงเดือนอาวุธที่พระองค์เชี่ยวชาญมากที่สุด ไม่มีใครเทียบได้เลยในประเทศนี้...มนุษย์มีแรงผลักดันล้ำลึกให้ต่อสู้ มนุษย์ชอบเสี่ยงแม้จะรู้ว่าความตายอยู่ข้างหน้า การเข้าฮิลฟาราครั้งนี้มิได้เกิดจากแรงผลักดันที่ว่านั้น แต่เกิดจากแรงจงรักภักดีต่อประเทศชาติ และต่อองค์อาหเม็ด การเสี่ยงครั้งนี้เป็นตายเท่ากัน...การิม ถ้าเจ้ากลัวก็ไม่ต้องไปกับเรา”

สายตาเด็ดเดี่ยวของการิมที่มองตอบบ่งบอกทุกอย่างชัดเจน ราชองครักษ์หนุ่มพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วพากันเดินทาง ยิ่งใกล้ฮิลพารา ชารีฟยิ่งคิดถึงมิเชลล์ กลัวจะไม่ได้พบกันอีก...

ขณะที่การิมและชารีฟมุ่งมั่นกับภารกิจสำคัญ ณ กระโจมขององค์อาหเม็ดใกล้เมืองอานาอิชา เจ้าชายอับดุลลารายงานต่อองค์อาหเม็ดว่า วิทยุถูกตัดตอนด้วยคลื่นรบกวนหลายช่วง ชวนให้สงสัยว่าองค์โอมานจะล่วงรู้แผนการของเราหมดแล้วอย่างที่พระองค์ว่า แต่ท่านไม่เข้าใจในเมื่อพระองค์ทราบเรื่องนี้แล้วทำไมถึงไม่ระงับภารกิจของชารีฟ นายพลมุสกัตจะส่งคนไปเตือนเขาให้ แต่องค์อาหเม็ดห้ามไว้

“ทุกคนฟังเรา แผนการต้องดำเนินต่อไป คิดอย่างที่เจ้าคิดเถอะอับดุลลาเราไม่ห้าม เราก็ประณามตัวเองอยู่ แต่นี่คือฮิลฟาราไม่ใช่อาหเม็ด ไม่ใช่ชารีฟ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น นี่คือชะตากรรมของประชาชนทุกคน”

เจ้าชายอับดุลทักท้วง ถ้าชารีฟตาย ฮิลฟาราก็ต้องตายไปด้วย องค์อาหเม็ดประกาศลั่นว่า ชารีฟจะไม่ตาย องค์โอมานแม้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ดวงชะตาของชารีฟแกร่งกว่า แล้วสั่งให้เตรียมยกทัพไปฮิลฟารา เจ้าชายอับดุลลาตกใจ ถ้าทำเช่นนั้นท่านราชองครักษ์จะตกอยู่ในอันตราย องค์อาหเม็ดจำต้องตัดใจ

“พันเอกชารีฟราชองครักษ์เป็นคนฉลาด เป็นคนเก่งรอบคอบไม่ขลาดเขลา ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อแผ่นดิน เรามั่นใจว่าญาติของเราต้องหาทางแก้เกมนี้ได้สำเร็จ ขอพระอัลเลาะห์คุ้มครองชารีฟ”...

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ภายในร้านขนมปังที่ซึ่งชารีฟใช้เป็นสถานที่ส่งข่าวถึงองค์อาหเม็ด ทหารฝ่ายตรงข้ามโยนเงินปึกใหญ่ให้เจ้าของร้าน กำชับว่าอย่าปากโป้งเด็ดขาด ถ้ายังอยากจะใช้เงิน...

ooooooo


ชารีฟในคราบศาสตราจารย์โมฮัมหมัดและ การิมในฐานะผู้ช่วยแพทย์มาถึงตำหนักหลวงตาม กำหนดโดยมีเจ้าหน้าที่ขององค์โอมานมารอต้อนรับ จากนั้นจึงพาไปยังตึกรับรอง และแจ้งว่าอีกสามวัน พระองค์ถึงจะโปรดให้เข้าเฝ้า ชารีฟแปลกใจทำไมต้องให้รออีกตั้งสามวัน

“พระองค์โอมานไม่ว่าง ยังไม่พร้อมที่จะทรงผ่าตัด” เจ้าหน้าที่ว่าแล้วเดินนำเข้าไปด้านในตึก การิมสังเกตเห็นทหารยืนยามเรียงรายตามสองข้างทาง สะกิดให้ชารีฟดู


“ท่านดูหน้าแต่ละคนสิ เหมือนมันอยากตาย”

“พวกกองโจรทะเลทรายถูกจ้างมาเป็นทหาร จากเมืองเสด็จแม่ขององค์โอมาน”

“อ๋อ...คนป่าคนดงมาแต่งทหาร” การิมปรายตามองอย่างดูแคลน...

ตั้งแต่มาถึงวังหลวง ชารีฟกับการิมได้แต่อยู่ในตึกรับรองไม่ได้ออกไปไหน การิมเริ่มทนไม่ไหว เดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิด บ่นโน่นบ่นนี่ไม่หยุดปาก ผิดกับชารีฟลิบลับที่นั่งสงบนิ่ง สีหน้าเย็นชา

“นี่มันถูกทรมานเหมือนหนูติดจั่นนะ โรคประสาทจะกินตาย”

“เป็นการบั่นทอนกำลังทางอ้อม อย่าไปเดือดร้อน กับมันมากนักเพราะเท่ากับทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาต้องการ” ชารีฟว่าแล้วโยนหนังสือเล่มหนึ่งให้อ่านเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วหยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมาอ่านเอง แต่ในใจกลับคิดถึงมิเชลล์ หยิบแหวนเปียรุสที่ซ่อนไว้ในชายเสื้อ ขึ้นมาแนบกับริมฝีปาก...

ความคิดถึงของชารีฟราวกับจะส่งผ่านไปถึงมิเชลล์ซึ่งอยู่ห่างไกลไปหลายร้อยกิโลเมตรได้ เธอเองก็คิดถึงเขาใจแทบขาด เห็นเงาสะท้อนของชารีฟบนผิวน้ำในลำธารคิดว่ายืนอยู่ข้างหลัง หันไปมองกลับไม่พบใคร

“ฉันรู้แล้วว่าฉันคิดถึงท่านมากจน...จนเห็นไปเอง” มิเชลล์พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เดินหน้าเศร้าเข้าไปหาพระชายาในองค์อาหเม็ดที่กระโจมฝ่ายใน พระองค์ถามเธอว่าหายไปไหนมา มีข่าวดีจะมาบอก ตอนนี้ทุกกระโจมกำลังเก็บข้าวของเตรียมเดินทางกลับฮิลฟารา

“ฮิลฟาราหรือเพคะ เราชนะศึกแล้วหรือเพคะ” มิเชลล์แทบจะระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ไหว

“ถ้าไม่ชนะ ก็จวนจะชนะเต็มทีแล้ว”

มิเชลล์ดีใจมาก ขออนุญาตไปเก็บข้าวของ พอพ้นสายตาพระชายา เธอเดินไปเต้นรำไปตามทางอย่างเริงร่า นางกำนัลที่กำลังเก็บข้าวของลงหีบต่างหัวเราะมีความสุขไปด้วย แต่แล้วพวกนั้นหยุดกึก ชี้นิ้วข้ามไหล่เธอไปด้านหลัง มิเชลล์มองตามมือเห็นพระชายายืนอยู่ ถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้น นอกจากพระองค์จะไม่ดุด่าว่ากล่าวแล้ว ยังชวนมิเชลล์ลุกขึ้นมาเต้นรำด้วยกันอย่างสนุกสนาน

ooooooo

กองทัพขององค์อาหเม็ดเคลื่อนพลไปสองวันแล้ว แต่พวกฝ่ายในยังอยู่ที่โอเอซิสใกล้เมืองอา-นาอิชา ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ตามไป มิเชลล์นั่งหน้า หมองด้วยความผิดหวัง พระชายาอดกระเซ้าไม่ได้

“เราเพิ่งผ่านเวลาสนุกร่าเริงมาหยกๆวันที่เต้นรำกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าวันนี้ต้องมานั่งเศร้า”

“องค์อาหเม็ดเสด็จไปตั้งหลายวันแล้วนะเพคะ”

“เราควรจะดีใจเพราะรับสั่งว่าจะให้พวกเราตามเสด็จไปอยู่ฮิลฟาราหมดทุกคน ถ้าองค์อาหเม็ดยังไม่เสด็จไปสิ เราก็ไม่มีวันได้ตามเสด็จไปที่ไหนเลยนอกจากอยู่ตรงนี้”
“ทรงให้กำลังใจหม่อมฉันที่สุด หม่อมฉันขอบ พระทัยเพคะ” มิเชลล์จับมือพระชายามาจูบเบาๆ พระองค์มั่นใจว่าในไม่ช้านี้ คนทรยศก่อการกบฏจะต้องถูกลงโทษ...

ค่ำวันเดียวกัน ณ ที่มั่นของฝ่ายองค์อาหเม็ดชานเมืองฮิลฟารา องค์อาหเม็ดกล่าวให้กำลังใจไพร่พลที่เพิ่งผ่านการเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย

“เอาล่ะพวกเรา ในที่สุดเราก็มาถึงฮิลฟารา เท่ากับเราเข้ามาใกล้ปากเสือแล้ว...โน่น โอมานอยู่ที่โน่น รอเวลาที่ชารีฟจะไปประหารชีวิต ส่วนพวกเรารอคอยที่จะเข้าไปดูศพของไอ้คนทรยศ ท่านนายพลมุสกัต ทหารของเราในร่างของคาราวานเบดูอิน อยู่ในเมืองฮิลฟาราประมาณกี่คน”

“คาดว่าประมาณห้าหมื่นคนพระเจ้าข้า”

“เราเชื่อใจในพวกเขามาก เรารู้ว่าต่อให้เราตายต่อให้ท่านมุสกัตตาย ทหารของเราจะต่อสู้จนกว่าจะตายหมด ไม่มีคำว่าหนีในหมู่ของทหารอาหเม็ดที่สามแห่งฮิลฟารา...

ทุกคนฟัง ทหารของโอมานเราอยากเห็นนัก มันมาเป็นทหารเพราะค่าจ้างแพงๆ ที่โอมานล่อ ไม่มีจุดประสงค์จะป้องกันใคร หรือทำเพื่อใคร มันทำเพื่อเงินเท่านั้น”

นายพลมุสกัตตั้งข้อสังเกตว่าชารีฟเข้าไปในฮิลฟารานานเกินไปแล้ว องค์อาหเม็ดเองก็ทรงวิตกเช่นกัน อยากจะได้อาสาสมัครไปติดตามเรื่องนี้ ทหารยศพันตรีนายหนึ่งอาสาทำภารกิจนี้ให้ แม้รู้ดีว่าเสี่ยงอันตราย แต่เพื่อท่านราชองครักษ์แล้วเขาทำได้ทุกอย่าง องค์อาหเม็ดหน้าตึงขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ

“เจ้าจงหาทางไปบอกราชองครักษ์ว่าทหารของเราทั้งหมดเข้ามาอยู่ในฮิลฟาราแล้ว รอคอยพลุสัญญาณ”

นายพลมุสกัตไม่เห็นความจำเป็นต้องส่งใครไปแจ้งข่าว ท่านราชองครักษ์ทราบแผนการให้ทหารแฝงตัวเป็นเบดูอินเข้าไปอยู่ในเมืองดีแล้วเพราะท่านเป็นคนต้นคิดเอง เพียงแต่ไม่ให้ตนบอกใครเท่านั้น

“ชารีฟน้องเราเขาช่างฉลาดหลักแหลมเกินจะคิด เอ้า เจ้าไม่ต้องเสี่ยงอันตรายแล้ว”

“แต่ข้าพระองค์เต็มใจ ท่านราชองครักษ์ควรได้รู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รอคอยแต่ท่านเท่านั้น” พันตรีนายนั้นสีหน้ามุ่งมั่น ต้องการจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ

ooooooo


ถูกกักตัวให้อยู่ในตึกรับรองทำให้การิมกดดันจนใกล้ระเบิด พอทหารยืนยามหน้าตาละอ่อนคนหนึ่งเปิดประตูห้องเข้ามา เขากระชากตัวมาต่อยโครมกระเด็นลงไปกองกับพื้นแล้วจะตามไปซ้ำ แต่ชารีฟคว้าแขนไว้ จ้องด้วยสายตาคมกริบเป็นทำนองให้ใจเย็นๆ ก่อนจะหันไปซักถามทหารหนุ่มว่ามาเป็นทหารได้อย่างไร

“มาหาเงิน แต่มานานแล้วเพิ่งได้งวดเดียว”

“อ้าว แล้วทำอย่างไร”

ทหารหนุ่มจะลาออก อยากกลับบ้านไปหาแม่ พูดจบสะอื้นเบาๆ ชารีฟสงสาร ถอดแหวนที่นิ้วให้เขาวงหนึ่งเอาไปแลกเป็นเงินแล้วให้กลับบ้านไปหาแม่ อย่าลืมซื้อของที่เธอชอบไปฝากด้วย ทหารหนุ่มซาบซึ้งใจน้ำตาไหล คำนับหัวแทบโขกพื้น การิมยิ้มแหยๆ จะขอโทษเขาก็ไม่กล้า ได้แต่กำชับว่าห้ามบอกใครว่าถูกซ้อม 

ทหารหนุ่มพยักหน้ารับคำ แต่ถ้ามีใครถามเขาจะบอกว่าสะดุดขาตัวเองหกล้ม...

ทางฝ่ายนายทหารอาสาสมัครที่จะมาส่งข่าวให้ชารีฟเกิดทำผิดพลาด ถูกทหารรับจ้างขององค์โอมานจับพิรุธได้ โดนคุมตัวส่งเข้าวังหลวงเพื่อเค้นเอาความจริง...

ระหว่างรอเข้าเฝ้าองค์โอมาน ชารีฟไม่ปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ฝึกซ้อมการใช้มีดวงเดือนอย่างขะมักเขม้น ขณะที่การิมเอาแต่บ่นว่าเราสองคนคงจะโดนกักขังอยู่ที่นี่ไปจนตาย จังหวะนั้น ตำรวจวังเข้ามาแจ้งว่าองค์โอมานมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วพาทั้งคู่ไปทางตำหนักฤดูร้อนที่ตั้งอยู่ด้านหลัง ชารีฟชักเอะใจ

“จะผ่าตัดที่นั่นหรือ”

ตำรวจวังบอกแค่ว่าไปถึงก็จะรู้เอง ชารีฟในคราบศาสตราจารย์โมฮัมหมัดตั้งข้อสังเกตว่าตำหนักหลังนั้นโปร่งเกินไปไม่เหมาะเป็นห้องบรรทม หรือแม้แต่จะเป็นห้องตรวจโรค ทำไมองค์โอมานถึงรับสั่งให้ไปที่นั่น

“แล้วท่านจะรู้เอง ท่านศาสตราจารย์”

การิมไม่พอใจ ขวางหน้าตำรวจวังไว้ ขู่ถ้าไม่ตอบคำถามจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น ชารีฟต้องส่งสายตาเป็นเชิงปราม การิมจึงยอมหลีกทางให้ ก่อนจะสบตาตอบเป็นทำนองว่าอย่าไปที่นั่น

“เวลานั้นมาถึงแล้วการิม” ชารีฟกระซิบ

ooooooo

ครู่ต่อมา ตำรวจวังพาชารีฟและการิมมาถึงตำหนักฤดูร้อน มีทหารยืนเฝ้าระวังอยู่ตรงทางเข้าสองนาย ทันใดนั้นมีเสียงตบมือดังมาจากด้านใน ตำรวจวังจึงพาทั้งคู่เข้าไป เห็นทหารน้อยใหญ่ยืนเรียงรายเต็มไปหมดรอบๆมีทหารรับจ้าง พร้อมอาวุธครบมือยืนคุมเชิงอยู่ องค์โอมานมองผู้มาเยือนเขม็ง

“ชารีฟน้องของเรา เข้ามาสิ ยินดีต้อนรับสู่ฮิลฟาราอีกครั้ง...เป็นอย่างไร การต้อนรับของกษัตริย์โอมาน พาตัวเข้ามาตรงนี้สิ” สิ้นเสียงรับสั่ง ทหารคุมตัวชารีฟเข้าไปหา ส่วนการิมถูกตำรวจวังล็อกตัวไว้ องค์โอมานมองชารีฟอย่างพิจารณา ก่อนจะชมว่าเหมือนหมอประจำตัวพระองค์มาก แล้วตบแขนเขาอย่างแรง

การิมไม่พอใจ ฮึดฮัดจะเข้าไปช่วย ตำรวจวังรวบตัวไว้แน่นไม่ยอมให้ไป องค์โอมานเย้ยหยันชารีฟว่า ไม่เฉลียวใจบ้างเลยหรือ

“เฉลียวใจเรื่องอะไร”

องค์โอมานรู้แล้วว่า องค์อาหเม็ดจะต้องใช้แผนการนี้เข้ามาลอบทำร้ายพระองค์ และยังรู้อีกว่ากองทัพฝ่ายต่อต้านล้อมฮิลฟาราไว้แล้ว แต่คงจะยึดคืนได้ยาก เพราะพระองค์วางกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือไว้ตามจุดสำคัญๆ ไม่มีใครผ่านเข้าออกแล้วจะพ้นสายตาพวกนั้นไปได้ ชารีฟอยากรู้ว่าองค์โอมานต้องการอะไรกันแน่


“เราอยากจะทำลายนายทหารคู่พระทัยองค์อาหเม็ด... ก็เจ้านั่นแหละชารีฟ นายพลมุสกัตน่ะแก่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็ตาย แต่เจ้ายังหนุ่มแน่นและมีอิทธิพลในหมู่ทหารมาก เจ้าคิดผิดที่ไม่ร่วมมือกับเรา คนหนุ่มย่อมบริหารประเทศได้ดีกว่าคนแก่ องค์อาหเม็ดทรงหวงตำแหน่งจนลืมนึกถึงสังขาร”

“เข้าพระทัยผิดแล้ว องค์อาหเม็ดไม่เคยหวงตำแหน่ง แต่ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ต้องอาศัยความสุขุม รอบคอบ มีเหตุมีผล มีความคิด ใช้สมองไม่ใช่ใช้กำลัง” ชารีฟโต้อย่างไม่เกรงกลัว องค์โอมานโกรธมากตบเขาฉาดใหญ่ที่กล้าตีฝีปาก ชะตาจะขาดอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก

“ข้าพระองค์เป็นทหาร หน้าที่ทำให้ต้องกล้าพร้อมที่จะผจญกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

“ชะ...เล่นลิ้นรึ แผนเจ้าน่ะมันใช้ไม่ได้ มันล้มเหลว มันถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าเรานี่ สั่งความไปบอกถึงเจ้าพี่อาหเม็ดด้วย...เฮ้ย เอาไอ้คนถ่อยนั่นเข้ามา”

ทหารรับจ้างนำตัวนายทหารฝ่ายต่อต้านที่อาสาสมัครนำข่าวมาแจ้งชารีฟเข้ามาในห้อง ชารีฟเห็นสภาพบอบช้ำปางตายของเขาแล้ว ถึงกับโวยวายด้วยความแค้นว่า นี่เป็นฝีมือมนุษย์หรือสัตว์กันแน่ที่ทำแบบนี้ ทหารนายนั้นรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายพูดให้ได้ยินทั่วกันว่า

“กองทัพของเราแพ้ ไม่มีกองทัพอีกแล้ว”

ชารีฟมองตาทหารนายนั้นปราดเดียวรู้ทันทีว่า มีความนัยบางอย่าง ทำทีเข้าไปประคอง เขากระซิบข้างหู

“องค์อาหเม็ด...เข้าเมืองแล้ว รอสัญญาณ...ข้าลาท่านผู้เปรียบเหมือนพ่อ...โชคดีที่มาตายในอ้อมแขนของท่าน” ขาดคำนายทหารก็สิ้นใจ ชารีฟโอบร่างไร้วิญญาณ ของเขาไว้ด้วยความสะเทือนใจ องค์โอมานชี้ให้ทุกคนในห้องดูจุดจบของผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ ชารีฟวางร่างนายทหารลง แล้วลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ พร้อมจะรับจุดจบนั้นเช่นกัน องค์โอมานแดกดันว่ากล้าหาญถึงวินาทีสุดท้ายเลยหรือ

“สายเลือดแห่งราชวงศ์ฮิลฟารายังเข้มข้นในตัวข้าพระองค์”

ในเมื่อชารีฟเป็นทหารและมีฐานะเป็นพระญาติขององค์อาหเม็ด ดังนั้น องค์โอมานยินดีจัดให้เขาได้ตายอย่างสมเกียรติด้วยฝีมือของพระองค์เอง แล้วพยักพเยิดให้ซาอิ๊บส่งมีดวงเดือนให้คนละเล่ม ชารีฟรู้ตัวดีว่าเป็นรองและอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไป จึงขอทำละหมาดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการต่อสู้ องค์โอมานอนุญาตแล้วถอยไปยืนรอ หลังจากทำละหมาดเสร็จ ชารีฟยืนขึ้น หลับตาประสานมือกันไว้ ภาวนาอยู่ในใจว่า

“ข้าพระองค์พันเอกชารีฟ ขอน้อมคารวะพระองค์ผู้เป็นใหญ่ และขอสรรเสริญเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพระองค์ไม่ต้องฆ่าคนในขณะที่ควรจะช่วยชีวิตเขา...ถ้าข้าพระองค์ต้องผ่าตัด องค์โอมานรอดแน่”

ooooooo

การต่อสู้ระหว่างชารีฟและองค์โอมานเริ่มต้นขึ้น องค์โอมานมีฝีมือเหนือกว่าเป็นฝ่ายรุกไล่ชารีฟจนถอยร่นไม่เป็นขบวน คมมีดตวัดถูกเสื้อของเขาขาดเป็นทางยาว พระองค์เห็นคู่ต่อสู้มีสีหน้าตื่นตระหนกยิ่งได้ใจ ฟันใส่ไม่ยั้ง ชารีฟได้แต่ตั้งรับและพลาดเป็นครั้งที่สอง ถูกมีดฟันแขนเป็นแผลฉกรรจ์

ทหารรับจ้างเห็นเจ้านายได้เปรียบกระแทกอาวุธกับพื้นเป็นจังหวะอย่างฮึกเหิม การิมกำหมัดแน่น อยากจะเข้าไปต่อสู้แทน แต่ถูกตำรวจวังคุมตัวแจ องค์โอมานเห็นฝ่ายตรงข้ามเพลี่ยงพล้ำ ฟาดฟันมีดในมือหนักขึ้นอีก ชารีฟถูกคมมีดเฉือนไปทั่วตัว แต่ยังกัดฟันสู้

“เราจะแหวะเนื้อออกทีละชิ้น ได้ยินไหม เนื้อเจ้าจะหลุดออกมาทีละชิ้นๆ” องค์โอมานย่ามใจรุกเข้าหา ชารีฟตั้งหลักได้ รอจังหวะสวน ทันทีที่ศัตรูเปิดช่อง เขาแทงมีดเข้าอกองค์โอมานมิดด้ามถึงกับทรุดฮวบ พวกทหารที่ฮึกเหิมเมื่อครู่พากันเงียบกริบ ชารีฟแทบจะทรงตัวไม่อยู่ พยายามรวบรวมกำลังเท่าที่มีตะโกนลั่น

“องค์อาหเม็ดจงทรงพระเจริญ...การิมให้สัญญาณด่วน”

การิมไม่รอช้าวิ่งไปที่หน้าต่างห้อง ยิงพลุสัญญาณขึ้นฟ้า แสงสีแดงส่องสว่างไปทั่ว จากนั้นพลุลูกที่สองและลูกที่สามตามขึ้นไปติดๆ องค์อาหเม็ดซึ่งรออยู่แล้วเห็นสัญญาณพลุ จึงประกาศให้ได้ยินกันทั่วว่า คนทรยศถูกฆ่าตายแล้ว มีเสียงบอกต่อๆกันไปจนได้ยินกันทั่วทั้งกองทัพว่า

“องค์โอมานตายแล้วๆ ท่านราชองครักษ์ฆ่าองค์โอมานแล้ว”...

ขณะที่ทหารฝ่ายต่อต้านรุกคืบเข้ายึดฮิลฟารา ทหารรับจ้างขององค์โอมานเริ่มระส่ำระสาย บางคนก็วิ่งหนี บ้างก็วางอาวุธยอมแพ้ การิมถลาเข้ามาดูชารีฟที่นอนหน้าซีดใกล้หมดสติ ค่อยๆพยุงให้ลุกขึ้นจะพาไปส่งโรงพยาบาล ราชองครักษ์หนุ่มไม่วายหันไปมองร่างไร้วิญญาณขององค์โอมานด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“องค์โอมาน ข้าพระองค์จำเป็นต้องฆ่าท่าน อภัยด้วยเถิด”...

เมื่อการิมประคองชารีฟมาถึงหน้าตึกรับรอง กองทหารของนายพลมุสกัตมาล้อมวังหลวงไว้หมดแล้ว จังหวะนั้น มีรถจี๊ปคันหนึ่งแล่นมาจอดตรงหน้า การิมดีใจที่เห็นนายพลมุสกัต ร้องบอกให้ช่วยพาชารีฟไปส่งโรงพยาบาลด้วย ท่านนายพลรีบลงจากรถมาช่วยประคองปีกอีกข้าง ชารีฟจับมือเขาไว้ มองหน้าเป็นเชิงถามว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง

“เรายึดได้หมดทุกจุดแล้ว กำลังออกแถลงการณ์”

ราชองครักษ์หนุ่มยิ้มพอใจให้กับชัยชนะ ก่อนจะหมดสติไป...

ใน เวลาต่อมา นายพลมุสกัตและการิมพาชารีฟมาส่งโรงพยาบาล หมอสั่งให้เจ้าหน้าที่นำตัวเข้าห้องผ่าตัดโดยด่วน ท่านนายพลกำชับหมอเจ้าของไข้ว่าท่านราชองครักษ์จะต้องรอด เพราะถ้าเขาตาย ฮิลฟาราต้องวุ่นวายแน่ หมอไม่รับปาก แต่จะทำให้ดีที่สุด...

ทันทีที่ ทราบข่าวองค์โอมานสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือชารีฟ แต่ตัวเขาเองก็บาดเจ็บสาหัสอาการเป็นตายเท่ากัน เจ้าหญิงสุไบดาถึงกับเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น...

ในเวลาเดียวกันที่ โอเอซิสใกล้เมืองอานาอิชา ข่าวการยึดอำนาจคืนได้สำเร็จรู้ถึงหูพระชายาในองค์อาหเม็ด แม้จะพอใจกับข่าวน่ายินดีนี้แต่ไม่วายกังวลใจเพราะทราบมาว่าท่านราชองครักษ์ บาดเจ็บสาหัสยังอยู่ในห้องผ่าตัด พระองค์ไม่ยอมบอกเรื่องอาการบาดเจ็บของชารีฟให้มิเชลล์รู้เนื่องจากไม่อยาก ทำให้เสียขวัญ ได้แต่บอกเพียงว่ากองทัพฝ่ายเราได้รับชัยชนะ ให้เธอ เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวอย่างเป็นทางการได้แล้ว มิเชลล์ดีใจสุดๆ แต่พอเห็นแววตามีพิรุธของพระชายา อดถามไม่ได้

“พระชายาเพคะ มีอะไรที่ทรงเป็นกังวลหรือเปล่าเพคะ หม่อมฉันเห็นพระพักตร์...”

“งั้น หรือ หน้าตาเราเป็นกังวลหรือ คงใช่ เราคงจะกังวลว่าเมื่อไหร่จะได้กลับฮิลฟาราเสียที” พระชายาตรัสจบ หันหลังจากไปทันที มิเชลล์มั่นใจว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่ๆ แอบสะกดรอยตาม เห็นพระองค์กระซิบกระซาบบางอย่างกับนางกำนัลคนสนิทด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีเสียงเรียกชื่อชารีฟแว่วมาเข้าหู หญิงสาวใจคอไม่ดี เกรงจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเขา...

ความรักและความคิดถึงมีพลัง มากมายนัก แม้ยามที่ชารีฟหมดสติด้วยฤทธิ์ยาสลบอยู่ในห้องผ่าตัด จิตใต้สำนึกของเขาเห็นแต่ภาพของมิเชลล์ตลอดเวลา ทำให้มีกำลังใจจะมีชีวิตต่อไปเพื่อให้ได้พบเธออีกครั้ง

ที่มา:ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น