วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อ่านเรื่องย่อละคร เรื่องโดมทอง ตอนที่ 16

อ่านเรื่องย่อละคร เรื่องโดมทอง ตอนที่ 16


อดิศวร์สั่งให้คนงานรื้อค้นแทบจะทุกตารางนิ้วของโรงเก็บรถม้า ในที่สุดก็พบสิ่งผิดปกติอยู่ข้างใต้รถม้าเก่าคร่ำครึคันนั้น คนงานช่วยกันเข็นรถพ้นทาง พบผ้าผืนใหญ่ฝุ่นจับหนาเตอะปูทับอะไรบางอย่างอยู่ นายสมค่อยๆยกออกอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นไม้กระดานปิดไว้อีกชั้นหนึ่ง อดิศวร์สั่งการทันที

“ช่วยกันงัดออกสิ”

สักพักไม้ถูกงัดออก หมด ทุกคนพากันสลดใจเมื่อเห็นโครงกระดูกเจ้าคุณสรรักษ์จมฝุ่นอยู่ใต้พื้น มีของใช้ประจำตัวของท่านถูกฝังไว้ด้วย อุษาน้ำตาไหลพราก ทรุดตัวลงข้างอดิศวร์ก้มลงกราบท่านด้วยกัน

“อุษา ไปจุดธูปให้พี่ดอกหนึ่งแล้วก็หาผ้าขาวสะอาดๆ มารองกระดูกคุณปู่ด้วย...นายสม ให้ใครไปสั่งหีบศพอย่างดีมาให้เท่ากับจำนวนโครงกระดูกทั้งหมด ส่วนพวกที่เหลือแบ่งหน้าที่กันทำความสะอาดในนี้แล้วก็ห้องใต้โดมด้วย” อดิศวร์พูดจบมองโครงกระดูกคุณปู่ตัวเองด้วยความเศร้าใจอีกครั้ง ก่อนจะลุกออกไป...

แสงแขตีหน้าตื่นตรงมาถามอดิศวร์ที่เพิ่งเดินเข้า บ้านว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่อุษาถึงเดินร้องไห้เข้ามา ถามอะไรก็ไม่ยอมบอก เขาบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆว่าพบโครงกระดูกคุณปู่ฝังอยู่ใต้พื้นโรงเก็บรถม้า

“ตายจริง ก่อนหน้านี้ก็พบโครงกระดูกคุณย่าน้อยในห้องใต้โดม นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ”

อดิ ศวร์ไม่ตอบ เดินตรงไปยังห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์โดยมีแสงแขตามติด จะเข้าไปด้วย เขาสั่งเธอไม่ต้องตาม แล้วเข้าห้องปิดประตูตามหลัง เห็นคุณย่านอนซมเหมือนคนป่วยหนัก อดิศวร์รู้ทันว่าท่านแกล้งทำ จับแขนเขย่าเบาๆ ท่านผู้หญิงลืมตามองท่าทางอ่อนแรง บ่นว่าไม่ค่อยสบาย ปวดหัวมาก เขาไม่สนใจ

“ผมพบวิรงรองถูกขังอยู่ในห้องใต้โดมกับโครง กระดูกคุณย่าน้อยพลับพลึง แล้วผมก็พบโครงกระดูกคุณปู่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นในโรงเก็บรถม้า” ระหว่างที่พูด อดิศวร์จ้องจับพิรุธคุณย่าเขม็ง ท่านทำเนียนไม่รู้เรื่อง

“อ้าว ใครเล่นพิเรนทร์เอาไปไว้ที่นั่น ว่าแต่ลบแน่ใจหรือว่าใช่คุณปู่กับนังพลับพลึง อาจจะมีพวกโจรห้าร้อยหกร้อยไปปล้นฆ่าคนมาแล้วเอาศพมาฝัง”

“ยิ่งกว่าแน่ใจอีกครับ คุณย่าทราบเรื่องนี้มาตลอดเวลา คุณย่าเป็นคนสั่งการอยู่เบื้องหลังใช่ไหมครับ”

ท่าน ผู้หญิงสรรักษ์ลุกพรวดทำท่าเอาเรื่องกลบ เกลื่อน “ตาลบ นี่แกหาว่าฉันเป็นฆาตกรฆ่าคนพวกนั้นหรือ ก็เอาสิ ถ้าคิดอย่างนั้นล่ะก็พาตำรวจมาลากคอฉันไปเข้าคุกเลย ตายในคุกให้มันสะใจไปเลย”

“ผมแค่ถามคุณย่า...” อดิศวร์เสียงอ่อย ท่านผู้หญิงสรรักษ์ได้ทีรุกไล่

“แก กล่าวหาไม่ได้ถาม ก็ดีเหมือนกัน ชีวิตฉันไม่มีอะไรเหลือแล้ว ผัวก็ทรยศ น้องก็เนรคุณ แล้วนี่หลานที่ป้อนข้าวป้อนน้ำมากับมือเฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงก็อกตัญญูอีก ฉันตายก็อย่ามาเผา จำใส่หัวเอาไว้เลย” ท่านผู้หญิงสรรักษ์บีบน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้น อดิศวร์ไม่รู้จะทำอย่างไรดี มองท่านอยู่อึดใจก่อนจะลุกออกไป ทันทีที่หลานชายคล้อยหลัง คุณย่าจอมโหดหยุดสะอื้น เปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะแทนที่

ooooooo

บาป กรรมที่ใกล้ตามทันทำให้ท่านผู้หญิงสรรักษ์ อยู่ไม่เป็นสุข แม้แต่ตอนงีบหลับยังฝันร้ายเห็นพิศบ่าวผู้ซื่อสัตย์ไม่ว่ายามเป็นหรือยามตาย มากราบลา ท่านไม่ยอมให้ไป เธอยืนยันว่าถึงเวลาที่ตนเองจะต้องไปแล้ว

“ไม่ได้ เอ็งยังไปไหนไม่ได้ ข้าไม่อนุญาต”

ร่าง ของพิศค่อยๆเลือนหาย ท่านผู้หญิงสรรักษ์ตะโกนเรียกเธอให้กลับมาก่อน แต่ไม่อาจรั้งไว้ได้ ท่านสะดุ้งตื่นจากฝัน ร้องเรียกพิศลั่น อุษาตกใจวิ่งหน้าตื่นเข้ามาถามว่าเป็นอะไรไป ท่านผู้หญิงสรรักษ์ไม่ตอบ กลับสั่งให้เธอไปเปิดตู้หยิบกุญแจห้องเก็บของ และให้เข็นรถพาท่านไปที่นั่น

“คุณย่าจะเอาอะไรหรือคะ อุษาจะไปหยิบมาให้”

“แกน่ะหรือจะหยิบมัน” ท่านผู้หญิงยิ้มเยาะ แล้วลุกไปนั่งรอบนรถเข็น...

แสง แขอยากได้หน้ารีบวิ่งไปรายงานอดิศวร์ว่าเห็นอุษาเข็นรถพาคุณย่าไปที่ห้อง เก็บของ เธอจะเข้าไปถามก็ไม่กล้า เลยรีบมาบอกเขาแทน อดิศวร์วางมือจากงานที่ทำ แล้วลุกออกไปทันที...

ด้านท่านผู้หญิง สรรักษ์เข้าไปในห้องเก็บของเพียงลำพัง อีกทั้งยังสั่งให้อุษาปิดประตูห้องไว้อย่าให้ใครตามเข้ามา จากนั้น ท่านเดินไปตรงมุมห้องที่มีหีบใบเขื่องใส่ศพพิศซึ่งคลุมไว้ด้วยผ้าสีดำเก่า ซีดด้วยกาลเวลา ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเพราะหีบถูกข้าวของวางสุมไว้เพื่ออำพรางสายตา ท่านกวาดข้าวของที่วางทับบนหีบทิ้ง แล้วดึงผ้าคลุมออก บนฝาหีบมียันต์ลงอักขระเอาไว้ ท่านยกมือลูบที่ยันต์เบาๆ

จังหวะนั้น อดิศวร์เปิดประตูผลัวะเข้ามา ถามว่าในนั้นมีอะไร ท่านผู้หญิงสรรักษ์สะดุ้งโหยง พอตั้งสติได้แดกดันว่าจะมาจับผิดอะไรตนอีก แล้วหยิบผ้ามาคลุมไว้อย่างเดิม

“ก็แค่สมบัติเก่าๆของย่าไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก นี่นังอุษาคงเสนอหน้าไปรายงานล่ะสิ สาระแนไม่เข้าเรื่อง”

“ผมอยากทราบว่าในหีบมีอะไร”

“ย่า ปวดหัวเหลือเกิน พาย่าออกไปเถอะ” ท่านผู้หญิง สรรักษ์ทำเป็นซวนเซจะล้ม อดิศวร์รีบประคองท่านไปที่รถเข็น แล้วสั่งให้อุษาพากลับห้อง ท่านไม่ลืมกำชับอุษาให้ใส่กุญแจห้องเก็บของด้วย

“ไม่ต้อง...อุษาเอากุญแจมาให้พี่” อดิศวร์แบมือรอ อุษามองคุณย่าเป็นเชิงถามว่าจะให้ทำอย่างไร

“ให้เขาไป ไหนๆก็ไหนๆแล้ว รู้เพิ่มอีกสักคนจะเป็นอะไร”

อุษา ส่งกุญแจให้อดิศวร์แล้วเข็นรถพาคุณย่ากลับ แสงแขซึ่งแอบมองอยู่ รีบถอยไปหลบหลังเสา รอจนอุษาเข็นรถไปลับสายตาแล้ว จึงโผล่หน้าออกมาดู เห็นอดิศวร์กลับเข้าไปในห้องเก็บของอีกครั้งหนึ่ง เธอค่อยๆย่องตามมายืนที่หน้าประตู ชายหนุ่มตรงไปยังหีบใบนั้น แล้วดึงผ้าคลุมออก ทันทีที่เปิดฝาหีบ เขาถึงกับผงะทั้งๆที่เตรียมใจไว้แล้ว กลิ่นสาบจากซากศพพุ่งขึ้นมาจนเขาต้องปิดจมูก

โครงกระดูกของพิศในสภาพ งอก่องอขิงถูกยัดไว้ในนั้น พลันมีควันจางๆคล้ายร่างของคนลอยขึ้นจากหีบแล้วพุ่งผ่านรอยแตกของผนังออกไป อดิศวร์ถอนใจเฮือก พร้อมกับยกมือไหว้ แสงแขร้องถามว่ามีอะไรอยู่ในนั้น อดิศวร์หันขวับ สีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนจะสั่งให้เธอไปตามนายสมมาพบ

ooooooo

ท่าน ผู้หญิงสรรักษ์ร้อนรุ่มกลุ้มใจไปหมด ไม่รู้ว่าอดิศวร์จะเจออะไรที่ห้องเก็บของบ้าง สั่งให้อุษาไปสืบดู เธอยังไม่ทันจะออกจากห้อง อุไรวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานเสียก่อนว่าอดิศวร์สั่งให้นายสมรื้อห้องเก็บ ของอีกแล้ว เห็นว่ามีหีบศพด้วย ท่านผู้หญิงสรรักษ์หัวเราะร่วนราวกับเป็นเรื่องขำขัน

“ดี...รื้อให้หมดทั้งบ้านยิ่งดี ผีสางที่มันแอบอยู่มุมไหนซอกไหนจะได้ออกมากันให้หมด”

อุษา เห็นท่าทางแปลกๆของคุณย่า สั่งให้อุไรออกไปก่อน เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด อยู่ๆท่านก็ร้องเพลง สักพักกลับร้องไห้ออกมา อุษาได้แต่มองท่านด้วยความสลดใจ...

อดิศวร์มัวแต่วุ่นกับเรื่องใน บ้านกว่าจะได้ไปเยี่ยมวิรงรองที่โรงพยาบาลก็ใกล้โพล้เพล้เต็มที ปรางกับลานนาซึ่งเฝ้าไข้อยู่ปล่อยให้คู่รักได้อยู่กันตามลำพัง อดิศวร์เข้ามาจับมือวิรงรองไว้ แล้วก้มลงจูบหน้าผาก

“ฉันเป็นห่วงเธอ มาก อยากจะมาเฝ้าอยู่ทั้งวัน แต่ก็...” อดิศวร์พูดได้แค่นั้น เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอพูดไม่ออก วิรงรองเห็นสีหน้าอมทุกข์ของเขาแล้วบีบมือเขาอย่างอ่อนโยน บอกให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“...เราพบโครงกระดูกคุณปู่ฝัง อยู่ใต้พื้นดินในโรงเก็บรถม้า” น้ำเสียงของอดิศวร์เต็มไปด้วยความสะเทือนใจอย่างหนัก พลอยทำให้วิรงรองเศร้าไปด้วย...

ไม่นานนัก ลานนากับปรางกลับมาที่ห้องพักฟื้นของวิรงรองโดยมีภูไทและพันธ์สูรย์ตามมา ด้วย ภูไทถือโอกาสชวนอดิศวร์ไปที่คุ้มภูไทด้วยกัน เขาเห็นพันธ์สูรย์อยู่ด้วยทำท่าจะปฏิเสธ แต่วิรงรองชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ไปเถอะค่ะ ไปกราบหลวงพ่อของคุณพันธ์สูรย์กัน”

“พี่ ชายกับพี่พันธ์สูรย์ไปนิมนต์ท่านมาพักที่บ้านค่ะ ท่านค่อนข้างตกใจตอนทราบเรื่องของวิ พี่พันธ์สูรย์เลยขอให้ท่านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโดมทองให้ฟัง” ลานนาช่วยเสริม พันธ์สูรย์ออกปากชวนอดิศวร์ด้วยตัวเอง ราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เขาเห็นความจริงใจของพันธ์สูรย์แล้ว ตัดสินใจไปหาหลวงพ่อด้วย

ooooooo

ครู่ต่อมา อดิศวร์ ลานนา ภูไทและพันธ์สูรย์นั่งล้อมวงฟังหลวงพ่อเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในโดม ทองอย่างตั้งอกตั้งใจ เรื่องราวเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่ท่านเจ้าคุณสรรักษ์ ไกรณรงค์ผู้เป็นเจ้าของโดมทอง แอบรักใคร่ชอบพออยู่กับคุณพลับพลึงซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆของท่านผู้หญิง สรรักษ์

“แต่ต่อมาเกิดผิดฝาผิดตัวกันอย่างไรไม่อาจจะทราบได้ ทางบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายได้จัดการให้ท่านเจ้าคุณสมรสกับคุณมณฑาซึ่งต่อมา ก็คือท่านผู้หญิงสรรักษ์นั่นแหละ แล้วหลังจากนั้นโดมทองก็หาความสงบสุขไม่ได้เลย” หลวงพ่อฉุกคิดถึงภาพในอดีตเมื่อครั้งยังเป็นแค่เด็กชายตัวเล็กๆคอยวิ่งตาม พันปู่ของพันธ์สูรย์

คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์กระจ่างสวยงาม โดมทองจัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านเจ้าคุณสรรักษ์ มีแขกเหรื่อมาร่วมงานเลี้ยงอย่างคับคั่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ท่านผู้หญิงสรรักษ์ในชุดสวยงามแบบฝรั่ง เดินทักทายแขกเหรื่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พิศเดินค้อมตัวเข้ามากระซิบกระซาบกับท่านว่า

“ท่านผู้หญิงเจ้าคะ ท่านเจ้าคุณอยู่ในห้องดนตรีเจ้าค่ะ...คุณพลับพลึงก็อยู่ด้วย”

ท่าน ผู้หญิงสรรักษ์สีหน้าหวาดระแวงขึ้นมาทันที รีบตรงไปยังห้องดนตรี เห็นท่านเจ้าคุณสรรักษ์นั่งอยู่กับกลุ่มแขกสูงอายุกลุ่มหนึ่งกำลังทอดสายตา ไปยังคุณพลับพลึงซึ่งสีซอสามสายร่วมกับวงมโหรี เพลงนางครวญที่เธอร้องยิ่งฟังก็ยิ่งเศร้า สายตาที่ท่านเจ้าคุณมองสบตากับเธอนั้นช่างลึกซึ้ง อ่อนโยนราวกับอยากจะเข้าไปปลอบประโลมให้คลายทุกข์ใจ พลันมีเสียงท่านผู้หญิงสรรักษ์ที่พยายามปรับให้แจ่มใสดังขึ้น

“เจ้า คุณพี่มาอยู่ที่นี่เอง แขกเหรื่อถามหากันยกใหญ่ เชิญคุณลุงคุณป้าข้างนอกดีกว่านะคะ ดูเหมือนเขาจะเสิร์ฟอาหารกันแล้ว” ท่านผู้หญิงสรรักษ์หันไปยกมือเป็นสัญญาณให้วงดนตรีหยุดบรรเลง โดยไม่วายจิกสายตามองคุณพลับพลึงซึ่งก้มหน้าหลบด้วยความเกรงกลัว

พวก แขกสูงอายุอยากฟังคุณพลับพลึงสีซออีกจะขอกินอาหารกันในนี้เลย ท่านเจ้าคุณสรรักษ์เห็นดีด้วยแต่ท่านผู้หญิงขัดคอเสียก่อน อ้างว่านั่งกินข้างนอกสะดวกกว่า ลูกๆหลานๆจะได้มากราบอวยพรได้ แล้วบอกให้ท่านเจ้าคุณพาแขกทุกท่านไปที่ห้องจัดเลี้ยงได้แล้ว ท่านผู้หญิงสรรักษ์ซึ่งอยู่รั้งท้ายหันมาบอกคุณพลับพลึงว่าอย่าเพิ่งไปไหน แล้วเดินตามกลุ่มของท่านเจ้าคุณออกไป...

หลังจากพวกนักดนตรีออกไปกิน ข้าวกันหมด ท่านผู้หญิงสรรักษ์กับพิศย้อนกลับมาที่ห้องดนตรีอีกครั้งหนึ่ง รุมต่อว่าคุณพลับพลึงยกใหญ่ที่คิดจะแย่งสามีพี่สาวตัวเอง ท่านผู้หญิงสรรักษ์ไม่พูดพล่ามตบสั่งสอนฉาดใหญ่จนเธอเซถลาแล้วตามเข้าไปจิก หัวซ้ำ
“ฉันสั่งแกแล้วใช่ไหมว่าห้ามเล่นหูเล่นตากับท่านเจ้าคุณ รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดเจ้าคุณพี่ แขกเหรื่อมากัน มากมาย แต่แกก็ยังใช้มารยาเอาท่านมาเก็บไว้กับตัว”

“ไม่จริงเจ้าค่ะ เจ้าคุณพี่ท่านสั่งให้น้องชวนเพื่อนๆมาเล่นดนตรี...”

“งั้น ถ้าท่านสั่งให้แกยอมเป็นเมียน้อย แกก็จะยอมใช่ไหม...ตอบมาสิ แกจะยอมใช่ไหมอีนังพลับพลึง” ท่านผู้หญิงสรรักษ์ไม่พูดเปล่า กระชากผมคุณพลับพลึงไปมาจนหัวสั่นหัวคลอน เธออ้อนวอนขอร้องให้พอได้แล้วเธอกลัวแล้ว ท่านผู้หญิงเอานิ้วจิ้มหน้าผากคุณพลับพลึงกำชับว่าถ้ากลัวก็อย่าบังอาจทำแบบ นี้อีก ไม่อย่างนั้นท่าน ไม่เอาไว้แน่ แล้วเดินสะบัดออกไป

“จำเอาไว้นะเจ้าคะ คุณพลับพลึงเจ้าขา” พิศซ้ำเติมอย่างสนุกปาก ก่อนจะตามเจ้านายไป

ooooooo

งาน เลี้ยงดำเนินไปอย่างราบรื่นจนได้เวลาเต้นรำ พวกบ่าวไพร่ต่างมาออกันที่กระจกห้องโถงเพื่อดูท่านผู้หญิงสรรักษ์กับท่าน เจ้าคุณเต้นรำเปิดฟลอร์จากนั้น แขกเหรื่อแต่ละคู่ตามเข้ามาเต้นรำจนเต็มเวที แม้ท่าน จะเต้นรำอยู่กับท่านผู้หญิงสรรักษ์กลางเวทีแต่ใจไม่รู้ลอยไปไหนจนเกือบจะ เหยียบเท้าเธอซึ่งโวยใส่ทันที

“เจ้าคุณพี่เกือบจะเหยียบเท้าน้องแล้วนะคะไม่ทราบว่าใจลอยไปถึงไหน”

“พี่ไม่ค่อยสบาย...”

“ไม่สบายก็ยังปลีกตัวไปไหนไม่ได้ค่ะ วันนี้เป็นวันเกิด...”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ท่านเจ้าคุณขัดขึ้นด้วยสีหน้ามึนตึง ขณะที่ท่านผู้หญิงมองสามีด้วยความน้อยใจ...

ด้าน พิศคอยประกบคุณพลับพลึงตลอดไม่ให้กระดิกไปไหนจนกระทั่งถึงประตูห้องพัก เธอไม่ค่อยพอใจนัก ต่อว่าว่าต้องมาคอยตามทุกฝีก้าวด้วยหรือ พิศอ้างว่าเป็นคำสั่งของท่านผู้หญิงสรรักษ์ซึ่งไม่อยากให้น้องสาวตัวเองต้อง ปีนต้นงิ้ว คุณพลับพลึงโกรธที่เธอลามปามฮึดฮัดจะเอาเรื่อง พิศกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“ทำไมรึเจ้าคะเจ้าขา ต้นงิ้วน่ะหนามแหลมเปี๊ยบเลยนะเจ้าคะ นังพิศเป็นห่วงเจ้าค่ะ

คุณ พลับพลึงกำมือแน่นอย่างคับแค้นใจ เดินเข้าห้องแล้วปิดประตูกระแทกตามหลังดังปัง พิศรอจนแน่ใจว่าเธอจะไม่ออกมาอีก ถึงได้กลับมาที่งานเลี้ยง

หลังจาก จุดพลุไฟเป็นการปิดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดอย่างอลังการ แขกเหรื่อต่างทยอยกันกลับ  ทิ้งให้โดมทองเงียบเหงาอีกครั้ง เมฆฝนดำทะมึนลอยมาบดบังพระจันทร์สวยยิ่งทำให้โดมทองดูหม่นหมอง ครู่เดียวเสียงฟ้าร้องครืนๆ พร้อมกับฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก

คุณ พลับพลึงที่ยังนอนลืมตาโพลง ลุกพรวดไปปิดหน้าต่าง แล้วนึกถึงห้องดนตรีขึ้นมาได้ ไม่แน่ใจตัวเองได้ปิดหน้าต่างห้องนั้นหรือเปล่า รีบวิ่งลงไปดู ปรากฏว่าหน้าต่างปิดเรียบร้อยแล้ว เธอขยับจะออกไป ทันใดนั้น ไฟในห้องสว่างขึ้น เห็นท่านเจ้าคุณยืนอยู่ตรงสวิตช์ไฟข้างเสา ท่านอ้างว่านอนไม่หลับก็เลยเข้ามานั่งคิดอะไรเล่น แล้วเธอนอนไม่หลับเหมือนกันหรือ ท่านเจ้าคุณไม่ถามเปล่าเดินเข้ามาหา หญิงสาวหวั่นไหวไม่กล้าสบตาด้วย

“เปล่าค่ะ...ดิฉันจำไม่ได้ว่าปิดหน้าต่างแล้วหรือยังก็เลยลงมาดู”

ท่าน เจ้าคุณจับมือทั้งสองข้างของคุณพลับพลึงไว้ เธอตกใจรีบชักมือออก ขอร้องว่าอย่าทำอย่างนี้ เขากลับดึงเธอเข้ามากอด ก้มลงจูบแก้มด้วยความรักเต็มหัวใจ หญิงสาวตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก...

เสียง ฟ้าผ่าเปรี้ยงทำให้ท่านผู้หญิงสรรักษ์ตกใจตื่น หันมามองด้านข้างไม่พบสามีตัวเองนอนอยู่ เริ่มหวาดระแวง รีบลุกออกไปดูที่ห้องของน้องสาว ในห้องกลับว่างเปล่า เธอตาลุกวาวด้วยความหึงหวงที่เห็นทั่งคู่หายไปพร้อมกัน ก้าวฉับๆลงไปดูข้างล่าง...

ท่านเจ้าคุณสรรักษ์และคุณพลับพลึงออกจาก ห้องดนตรีเป็นจังหวะเดียวกับท่านผู้หญิงสรรักษ์มาถึงพอดี ต่างฝ่ายต่างชะงัก ท่านผู้หญิงโกรธจัดโวยวายลั่นว่านี่มันอะไรกัน ท่านเจ้าคุณจับแขนคุณพลับพลึงดึงไปไว้ด้านหลังเป็นทำนองปกป้อง ยิ่งทำให้ท่านผู้หญิงเดือดดาลหนักขึ้น

“เจ้าคุณพี่ทำกับดิฉันอย่างนี้ได้อย่างไร นังพลับพลึง นังน้องทรยศ นังเนรคุณกินบนเรือนขี้บนหลังคา”

ประมุข โดมทองพยายามอธิบายว่าท่านผู้หญิงสรรักษ์เข้าใจผิด เราสองคนไม่ได้มีอะไรกัน แต่เธอไม่ฟังหาว่าเขากับน้องสาวแอบนัดแนะกัน แล้วไล่ตะเพิดคุณพลับพลึงไปจากโดมทอง ท่านเจ้าคุณออกโรงปกป้อง

“พลับพลึง ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น กลับไปที่ห้อง แล้วก็ไม่ต้องเก็บข้าวเก็บของไปไหนไม่ต้องคิดมากโดมทองเป็นบ้านของฉัน...ฉัน จะอนุญาตให้ใครอยู่ก็ได้...ไปสิ”

ท่านผู้หญิงสรรักษ์แค้นใจแทบกระอัก เป็นเลือด คุณพลับพลึงเดินค้อมหัวผ่านหน้าเธอกลับห้องตัวเองท่านเจ้าคุณสรรักษ์เกรง ภรรยาจะตามไปเล่นงาน รีบชวนกลับไปคุยกันที่ห้อง...

ทั้งท่านผู้หญิง สรรักษ์และท่านเจ้าคุณไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้ เพราะเธอปักใจเชื่อเสียแล้วว่าสามีกับน้องสาวตัวเองคิดคดทรยศ ถามเขาตรงๆว่าอยากได้คุณพลับพลึงมากใช่ไหม ท่านเจ้าคุณไม่พูดอะไรเดินเลี่ยงมานั่งบนเตียง ท่านผู้หญิงสรรักษ์ตามมาคาดคั้นให้ตอบคำถาม

“จะให้ฉันตอบอย่างไรล่ะ  ถ้าบอกว่าเปล่าแม่มณฑาก็ไม่เชื่อ ถ้าตอบว่าใช่แม่มณฑาก็จะพิรี้พิไรไม่จบไม่สิ้น”

“ตอบตามความจริงสิคะ ดิฉันต้องการได้ยินจากปากเจ้าคุณพี่”

ท่านเจ้าคุณสรรักษ์เอนตัวลงนอนหันหลังให้แทนคำตอบ ท่านผู้หญิงสรรักษ์น้อยใจน้ำตาไหลพราก

ooooooo

ความ ปรารถนาในตัวคุณพลับพลึงที่มีมากขึ้น กอปรกับท่านเจ้าคุณสรรักษ์มีกำหนดการต้องเดินไปทำธุระที่พระนครนานถึงสอง สัปดาห์ ทำให้เขาตัดสินใจพูดเปิดอกกับท่านผู้หญิงสรรักษ์ว่าต้องการจะขอคุณพลับพลึง มาเป็นเมียน้อย เธอถึงกับน้ำตาร่วง ตัดพ้อว่าผู้หญิงที่เขาจะขอนั้นเป็นน้องสาวแท้ๆของเธอเอง

“นั่นจะทำให้แม่มณฑาปกครองง่ายมิใช่หรือ พลับพลึงเองก็ไม่มีพิษสงอะไร”

“แย่งผัวพี่นี่หรือคะไม่มีพิษสง เจ้าคุณพี่ช่างพูดออกมาได้”

ท่านเจ้าคุณสรรักษ์ต่อรองว่าถ้าท่านผู้หญิงยอมยกพลับพลึงให้ เขาสัญญาจะไม่มีเมียน้อยที่ไหนอีก

เธอคับแค้นใจมากกัดริมฝีปากตัวเองเลือดซิบ มองสามีด้วยความผิดหวัง...

ทันทีที่คุณพลับพลึงทราบเรื่องนี้จากท่านเจ้าคุณสรรักษ์ ถึงกับร้องห้ามลั่นว่าทำอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด เธอไม่มีวันทำร้ายจิตใจพี่สาวตัวเอง เขากลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ชายจะมีเมียน้อย ได้เธอยังดีกว่าให้พาผู้หญิงอื่นเข้าบ้าน คุณพลับพลึงกลับเห็นตรงกันข้าม เป็นคนอื่นยังจะดีเสียกว่า ท่านเจ้าคุณสรรักษ์จับมือเธอมากุมไว้ขอร้องอย่าปฏิเสธ เราสองคนต่างรักกัน คุณพลับ– พลึงรีบดึงมือออกบอกอย่างไม่เต็มปากว่าไม่ได้รักเขา

“คิด ว่าฉันจะเชื่อหรือ เอาเถอะ เราจะพูดเรื่องนี้กันอีกทีเมื่อฉันกลับมา...พลับพลึงเล่นเพลงนางครวญให้ฉัน ฟังหน่อยได้ไหม ฉันขอร้อง แล้วระหว่างที่ยังไม่ไปพระนคร ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก”

คุณพลับพลึงหยิบซอสามสายมาไหว้ครูแล้วบรรเลงเพลงนางครวญที่ท่านเจ้าคุณอยากฟัง

ขณะ ที่ท่านเจ้าคุณสรรักษ์ฟังเพลงอยู่ที่ห้องดนตรีอย่างมีความสุข ท่านผู้หญิงสรรักษ์ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดด้วยความชอกช้ำใจ บ่นกับพิศว่าอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด

“เรื่องอะไรล่ะเจ้าคะ คนอื่นต่างหากที่จะต้องตาย ท่านผู้หญิงว่าจริงไหมล่ะเจ้าคะ”

ท่านไม่ตอบ แววตาเจ็บปวดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอำมหิตเข้ามาแทนที่

ooooooo

ใน ที่สุดก็ถึงวันที่ท่านเจ้าคุณสรรักษ์ต้องเดินทางเข้าพระนคร ท่านผู้หญิงสรรักษ์และคุณพลับพลึงต่างมาส่งที่รถ ท่านเจ้าคุณฝากท่านผู้หญิงช่วยดูแลคุณพลับพลึงแทนเขาด้วย ท่านผู้หญิงแววตาเหี้ยมขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนจะปรับเป็นปกติ รับปากจะดูแลเธออย่างดีชนิดที่ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม

“ฝากเนื้อ ฝากตัวกับคุณพี่เขานะ แล้วฉันจะรีบกลับมา” ท่านเจ้าคุณสรรักษ์ลูบผมคุณพลับพลึงอย่างอ่อนโยนรักใคร่ ท่านผู้หญิงแทบกระอักเลือดกับภาพบาดใจตรงหน้าแต่ต้องข่มเอาไว้ ตีสีหน้ายิ้มแย้ม

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ พลับพลึงจะรอเจ้าคุณพี่อยู่ที่โดมทองนี่ตลอดไป”

ท่านเจ้าคุณพยักหน้ารับโดยไม่เฉลียวใจเลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหน้าหญิงคนรัก...

ขณะ ที่พันปู่ของพันธ์สูรย์กำลังตัดแต่งต้นไม้อยู่ในสวน พิศเข้ามากระซิบเตือนว่าอย่าลืมสองยามคืนนี้ เขามีสีหน้ากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด ทักว่าจะกำจัดคุณพลับพลึงแน่หรือ พิศยืนยันว่าทำแน่นอน ท่านผู้หญิงสรรักษ์อุตส่าห์วางแผนไว้ตั้งหลายวันแล้ว รวมทั้งพวกวงมโหรีนั่นด้วย ต้องปิดปาก ให้สนิทจะได้ไม่ต้องมาคอยถามหาให้วุ่นวาย พันถึงกับบ่นอุบ งานคราวนี้คงทำให้ตนเองตกนรกไม่มีวันผุดวันเกิด...

ระหว่างที่คุณ พลับพลึงกำลังให้ข้าวแมวอยู่ในห้องครัว ท่านผู้หญิงสรรักษ์ตามมาแดกดันว่าไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้างเลยหรือที่จะ ต้องมีผัวคนเดียวกับพี่สาวตัวเอง หรือว่าข้าวของตนมียางไม่พอเธอถึงได้เนรคุณ คุณพลับพลึงถึงกับหน้าเสียก้มกราบขอโทษแทบเท้าพี่สาวที่ทำให้ต้องเจ็บช้ำ น้ำใจ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไปจากที่นี่ และเพื่อกันไม่ให้ท่านเจ้าคุณออกตามหา เธอจะเขียนจดหมายฝากท่านผู้หญิงสรรักษ์ไว้ให้ท่าน

“งั้นก็ไปเขียนเลยสิ”

คุณพลับพลึงรับคำ ก่อนจะลุกออกไปทั้งน้ำตา ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองตามอย่างปองร้าย...

ผ่าน ไปไม่นาน คุณพลับพลึงหิ้วกระเป๋าใส่เสื้อผ้ากลับมาหาท่านผู้หญิงสรรักษ์พร้อมด้วย จดหมายในมือท่านผู้หญิงขอบใจเธอมากที่เห็นแก่หน้า ท่านเองก็ไม่ใจร้ายใจดำปล่อยให้น้องแท้ๆต้องไปตายเอาดาบหน้า ได้สั่งการให้นายแสงคนขับรถแวะไปดูบ้านที่ท่านจัดเตรียมไว้ให้เธอไปอยู่ หลังกลับจากไปส่งเจ้าคุณพี่ขึ้นรถไฟ

“พี่ขอสารภาพว่าพี่เตรียมการ เรื่องนี้ไว้เป็นเวลานานพอสมควร เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งเจ้าคุณพี่จะต้องสู่ขอแม่พลับพลึงจากพี่แน่ๆ...ขึ้น ไปพักผ่อนเถอะ แล้วคืนนี้พี่จะไปส่งแม่พลับพลึงให้ถึงที่ทีเดียว” นัยน์ตาของท่านผู้หญิงสรรักษ์เป็นประกายกร้าวขึ้นมาทันที

ooooooo

ทุกอย่าง เป็นไปตามแผนการที่ท่านผู้หญิงสร-รักษ์วางไว้ เที่ยงคืนวันเดียวกัน พิศฟาดหัวคุณพลับพลึงสลบเหมือด แล้วให้พันเอาตัวออกไปจากห้องพักโดยไม่ลืมหยิบกระเป๋าใส่เสื้อผ้าและซอสาม สายของเธอไปด้วย  ไม่ได้มีแค่คุณพลับพลึงเท่านั้นที่ถูกหมายหัว นักดนตรีร่วมวงมโหรีของเธอก็ถูกคนร้ายบุกเข้าไปฆ่าตายเรียบ...

ใน เวลาต่อมา คุณพลับพลึงค่อยๆรู้สึกตัวลืมตาขึ้นพบว่าตัวเองถูกล่ามโซ่ติดไว้กับขาเตียง อยู่ในห้องใต้โดม โดยมีท่านหญิงสรรักษ์กับพิศยืนมองอย่างสะใจ เธอถามพี่สาวว่านี่มันเรื่องอะไรกัน

“ที่อยู่ที่ฉันเตรียมไว้ให้แกก็ คือในนี้ไงอยู่ใกล้ๆ เจ้าคุณพี่แค่เอื้อม แต่ก็เอื้อมไม่ถึง เจ้าคุณพี่เองก็จะคร่ำครวญหวนไห้หาแกโดยไม่นึกเอะใจสักนิดว่าแกอยู่ในนี้ สาสมใจฉันนัก แกจะต้องอดข้าวอดน้ำ ไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ตายอยู่ที่ยอดโดมทองนี่แหละ” ท่านผู้หญิงสรรักษ์ยิ้มเหี้ยม

จังหวะ นั้น พันกับพรรคพวกยกระนาดเปื้อนเลือดเข้ามาวาง ตามมาด้วยเครื่องดนตรีอีกหลายชนิดที่มีสภาพไม่ต่างกัน ถูกโยนเข้ามากองรวมไว้ คุณพลับพลึงมองอย่างใจคอไม่ดี

“นี่ เพื่อนวงมโหรีของแกไง ฉันสงสารกลัวแกจะเหงา ก็เลยให้คนไปเอาวิญญาณของพวกนั้นมาอยู่เป็นเพื่อนจะได้มาตั้งวงผีกันบน นี้...อ้อ จดหมายของแกน่ะ ฉันจะส่งให้เจ้าคุณพี่อ่านตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึงโดมทองเลย ไม่ต้องเป็นห่วง” ท่านผู้หญิงสรรักษ์หัวเราะสะใจ ก่อนจะเดินนำทุกคนออกจากห้องแล้วล็อกกุญแจไว้อย่างแน่นหนา โดยมีเสียงคร่ำครวญของคุณพลับพลึงที่ขอร้องให้ปล่อยตนไปดังตามมาเป็น ระยะๆ...

ทางด้านพันนึกถึงเสียงอ้อนวอนขอความเมตตาของคุณพลับพลึงแล้วถึงกับนอนไม่หลับถอนใจ หนักใจ

ooooooo

พัน ทนบาปในใจไม่ไหว เอาปิ่นโตใส่อาหารจะขึ้นไปให้คุณพลับพลึงกิน แต่เจอท่านผู้หญิงสรรักษ์กับพิศขวางไว้เสียก่อน ท่านผู้หญิงไม่พอใจมากที่เขาใจอ่อนคิดจะช่วยเหลือศัตรูหัวใจของตนเอง นี่ถ้าไม่เห็นแก่นังพิศที่เป็นน้องสาวของเขา เธอไม่ปล่อยเขาไว้แน่ แล้วไล่ตะเพิดพันไปพ้นหน้าห้ามมาเหยียบที่โดมทองอีก

จากนั้น ท่านผู้หญิงสรรักษ์กับพิศขึ้นไปที่หน้าห้องใต้โดมอีกครั้งหนึ่ง เอาไม้กระดานที่เตรียมไว้ตีปิดทับประตูห้องอีกชั้นหนึ่ง ทันทีที่ไม้ถูกตีปิดทับครบทุกแผ่นเสียงร้องของคุณพลับพลึงแทบจะเล็ดลอดออกมา ไม่ได้

ท่านผู้หญิงยิ้มพอใจแล้วเดินนำพิศลงมา แต่อยู่ๆ ท่านเกิดหน้ามืดจะเป็นลม พิศตกใจรีบประคองพาไปนั่ง แล้วขยับจะไปหยิบยาดมมาให้ เธอตะโกนไล่หลัง ให้หยิบกระโถนติดมาด้วย ขาดคำท่านผู้หญิงโก่งคออาเจียนชุดใหญ่ พิศนิ่วหน้ามองด้วยความประหลาดใจ

ooooooo

ท่าน เจ้าคุณสรรักษ์ทั้งดีใจและเสียใจปนกันเมื่อกลับมาถึงโดมทอง ดีใจที่ท่านผู้หญิงตั้งครรภ์ แต่ต้องเสียใจจะเป็นจะตายให้ได้ที่คุณพลับพลึงหนีไป ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับเดียว ในนั้นมีข้อความว่า

“กราบเรียนเจ้าคุณ พี่ เมื่อเจ้าคุณพี่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้นั่นหมายความว่าดิฉันได้จากโดมทองไป แล้ว และจะไม่มีวันหวนกลับมาอีก เจ้าคุณพี่อย่าได้ตามหาดิฉันเลยนะคะ ดิฉันไม่สามารถทำร้ายจิตใจคุณพี่มณฑาได้ ยิ่งท่านดีกับดิฉันมากเท่าไหร่ ดิฉันก็ยิ่งละอายใจมากขึ้นเท่านั้น เรื่องนี้ดิฉันใคร่ครวญเองและตัดสินใจเองโดยไม่มีใครมาเกี่ยวข้องด้วย ขอให้เจ้าคุณพี่รักและทะนุถนอมคุณพี่มณฑาตลอดไป...พลับพลึง”

ประมุขโดมทองขยำจดหมายทิ้งด้วยหัวใจแหลกสลาย ไม่คิดเลยว่าคุณพลับพลึงจะทำกันได้ลงคอ...

ทั้งๆ ที่ท่านเจ้าคุณสรรักษ์พยายามตัดใจจากคุณพลับพลึงด้วยคิดว่าเธอหนีไปเพราะไม่ ได้รักเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดูในห้องพักของเธอ ทุกอย่างในห้องจัดไว้เป็นระเบียบ แต่มีฝุ่นจับไปทั่วเนื่องจากไม่มีใครเข้ามาทำความสะอาดนับแต่เจ้าของห้องจาก ไป ท่านเจ้าคุณสรรักษ์ล้มตัวลงนอนบนเตียงพึมพำอย่างอาลัยอาวรณ์

“พลับพลึง ทำไมทำกับฉันอย่างนี้”...

ขณะ ที่ท่านเจ้าคุณสรรักษ์เผลอหลับไป คุณพลับพลึงซึ่งใกล้ตายเต็มที พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายร้องขอความช่วยเหลือ แต่ห้องใต้โดมอยู่สูงเกินไป หนำซํ้าไม้ที่ตีปิดทับประตูห้องกักเสียงไว้ จึงไม่มีใครได้ยิน เธอหลับตาลงอย่างอ่อนแรง พลันมีเสียงระนาดและเครื่องดนตรีในวงมโหรีดังขึ้น คุณพลับพลึงปรือตามอง ก่อนจะยิ้มทั้งนํ้าตาเมื่อเห็นเพื่อนๆในวงปรากฏตัวเหมือนเมื่อครั้งยังมี ชีวิต

“มารับฉันแล้วหรือ...” พูดได้แค่นั้น คุณพลับพลึงก็สิ้นใจ...

ระหว่าง ที่ท่านเจ้าคุณนอนขดตัวเหมือนจะเป็นไข้อยู่บนเตียงของคุณพลับพลึง ฝันเห็นเจ้าของห้องทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อมากราบลา เขาพยายามรั้งไว้ แต่ไม่เป็นผล จะลุกตามก็ขยับไม่ได้ ดิ้นรนจนตกใจตื่น ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน เห็นท่านผู้หญิงสรรักษ์นั่งอยู่ใกล้ๆ ถามอย่างร้อนรนว่าคุณพลับพลึงหายไปไหน

“พลับพลึงที่ไหนคะ มันหนีไปตั้งหลายวันแล้ว”

“แต่ฉันเห็นจริงๆ พลับพลึงมาลา”

ท่าน ผู้หญิงสรรักษ์หาว่าท่านเจ้าคุณคงคิดถึงคุณพลับพลึงมากก็เลยเก็บเอามาฝัน บอกให้เขาไปอาบนํ้าอาบท่าได้แล้ว นอนคลุกฝุ่นมาทั้งคืนเดี๋ยวจะไม่สบาย ทันทีที่เขาคล้อยหลัง พิศรีบคลานเข้ามาหาเจ้านายสาวด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นผีนังพลับพลึงมาหาก็ได้ ท่านผู้หญิงสรรักษ์สั่งให้หยุดพูด

“เจ้าคุณพี่ฝันไป จิตใจหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่มันจนเก็บเอาไปฝัน นังพลับพลึงมันถูกจองจำอยู่บนโดมนั้น แม้แต่วิญญาณของมันก็ออกมาไม่ได้ จำใส่หัวเอาไว้นังพิศ” ท่านผู้หญิงไม่พูดเปล่า เอานิ้วจิ้มหน้าพิศจนหงาย
ที่มา:http://www.thairath.co.th/ent/novel/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น