วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 8

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 8

ครู่ต่อมา ชารีฟและการิมมาถึงรถบรรทุกเป้าหมาย อับดุลลาคนขับรถถามรหัสชารีฟว่ามีขนมปังหรือเปล่า เมื่อผู้มาเยือนตอบรหัสได้ถูกต้อง เขาจึงบอกให้ขึ้นไปซ่อนตัวด้านหลังกองสินค้าท้ายรถ ตรงนั้นจะมีช่องว่างพอให้ซุกตัวได้ แต่ต้องนั่งนิ่งๆไปไหนไม่ได้

ชารีฟอยากรู้ว่าอับดุลลาจะพาไปถึงไหน

“ถึงเมืองท่าข้างหน้า แล้วจะไปขึ้นเรือ...ไปขึ้นเรือนะ”

การิมบ่นพึมพำทำไมต้องพูดซ้ำด้วย ชารีฟส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ให้พูดมาก อับดุลลาแจกแจงอีกว่า พวกเราจะพักตามทางสองครั้งที่โรงกาแฟริมถนน กว่าจะถึงเมืองท่าที่ว่าคงเป็นพรุ่งนี้เช้า ทุกคำพูดท้ายประโยคเขาจะพูดซ้ำกันสองครั้งทุกคำ ชารีฟพยักหน้ารับรู้ แล้วปีนขึ้นไปบนท้ายรถบรรทุกโดยมีการิมตามติด ไม่วายบ่นอีกครั้งว่าทำไมคนขับรถต้องพูดอะไรซ้ำๆน่ารำคาญ

“บอกเขาให้หยุดพูดและไม่ต้องพาเราไป เอาไหม” ชารีฟต่อว่าแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ตั้งข้อสังเกตว่า เราคงต้องนั่งรถฝ่าทะเลทรายไป การิมหวังว่าระหว่างทางคงไม่เจอพายุ พลันภาพตอนฝ่าพายุทะเลทรายกับมิเชลล์ผุดขึ้นมาในสมองของชารีฟ เขาหยิบแหวนเปียรุสขึ้นมาจูบ ทำให้คลายความคิดถึงถึงเจ้าของไปได้บ้าง...

มิเชลล์เองก็รู้สึกไม่ต่างจากชารีฟ สีหน้าหม่นหมองตั้งแต่เขาจากไป จนพระชายาในองค์อาหเม็ดรับรู้ถึงความทุกข์ใจของเธอได้ ปลอบว่าชารีฟจะต้องรักษาชีวิตตัวเองเพื่อกลับมาหาเธอจนได้...

รถบรรทุกที่ชารีฟและการิมซ่อนตัวอยู่ แวะรับสินค้าตามรายทางจนข้าวของเต็มท้ายรถ การเดินทางไม่ราบรื่นเท่าใดนักเมื่อถูกทหารฝ่ายกบฏสองนายเรียกให้หยุด ด้วยความที่ชอบพูดซ้ำๆเป็นนิสัย ทำให้ทหารคิดว่าอับดุลลามีพิรุธ จัดแจงขึ้นไปค้นท้ายรถ ข้าวของมากมายทำได้แค่แหวกๆดู ไม่เห็นอะไรน่าสงสัยขยับจะลง พลันเหลือบเห็นรองเท้าข้างหนึ่งของการิมโผล่ออกมาจากกองผ้า ทหารชะโงกไปเรียกเพื่อนที่ยืนเฝ้าอับดุลลาให้มาดู

ชารีฟสะกิดการิมให้รีบถอดรองเท้าได้ทันท่วงที ก่อนที่ทหารคนนั้นจะใช้ดาบปลายปืนจิ้มไปที่รองเท้าแล้วงัดลอยไปตกนอกรถ การิมถึงกับถอนใจโล่งอกที่รอดมาได้อย่างเฉียดฉิว แม้จะเหลือรองเท้าแค่ข้างเดียว

ooooooo

รุ่งสางของวันถัดมา อับดุลลาขับรถมาถึงเมืองท่าเป้าหมาย แจ้งกับชารีฟและการิมว่าต้องรอที่นี่จนกว่าจะค่ำ การิมแปลกใจจะต้องรอทำไม นี่เพิ่งเช้ามืดทำไมไม่ไปกันเลย

“อยากเจอทหารหรือตำรวจล่ะ แถวนี้มีเยอะเลย อยากเจอไหม” อับดุลลาเสียงเขียว

“รอที่ไหน ในรถนี่หรือ”

อับดุบลาจะให้ทั้งคู่ไปรอในโกดังเก็บของที่ท่าเรือ ครู่ต่อมา  เขาพาชารีฟกับการิมไปซ่อนตัวในโกดังหลังท้ายสุดของท่า และแจ้งว่าค่ำๆเจ้าของเรือจะมารับ แล้วขยับจะไป ชารีฟเรียกไว้ หยิบเงินค่าจ้างให้ อับดุลลาไม่ยอมรับเงิน ที่ทำไปทั้งหมดไม่ได้ต้องการค่าจ้าง การิมแปลกใจถ้าไม่อยากได้เงินแล้วทำไปเพื่ออะไร

“ข้าพเจ้า เป็นคนของราชองครักษ์...ข้าพเจ้านับถือ ชื่นชม บูชาท่านราชองครักษ์พันเอกชารีฟมาก”

การิมสบตาชารีฟก่อนจะหันไปแดกดันอับดุลลา “เคยเห็นหรือเปล่า ท่านราชองครักษ์น่ะ”

“ท่านเยาะหยันข้าพเจ้ารึ...ถึงข้าพเจ้าจะไม่เคยเห็นตัวท่านราชองครักษ์ แต่ข้าพเจ้ารู้เรื่องของท่านทั้งหมด พวกทหารตามป้อมชายแดนทุกคนรู้จักท่านเพราะได้รับสิ่งของเครื่องใช้ที่ท่านอนุเคราะห์มาให้เสมอๆ เรารู้ว่าท่านเป็นคนอย่างไร เราเชื่อ เราเคารพท่าน ไม่เกี่ยวกับการเคยเห็นหรือไม่เคยเห็นตัวท่านหรอก” อับดุลลาพูดใส่หน้าการิมแล้วผละจากไปอย่างขุ่นเคือง

การิมยิ้มแหยๆ ก่อนจะลุกไปเอากระดาษมาปูให้ชารีฟนั่งด้วยท่าทางนอบน้อม เขาทักท้วงว่าตอนนี้เขาไม่ใช่ราชองครักษ์

“ยามปลอดคนข้าพเจ้าอดไม่ได้ ยิ่งได้รู้เห็นความสำคัญของท่านอย่างนี้ยิ่ง...”

“การิม กองทัพไม่ได้อยู่ได้ด้วยนายพลคนเดียว ทุกคนรวมกันก่อให้เกิดเป็นกองทัพ...พรุ่งนี้ ขึ้นจากเรือใครจะพาไปบ้านศาสตราจารย์โมฮัมหมัด”

ได้ความว่าญาติที่ไว้ใจได้ของการิมจะมารับ ชารีฟอยากให้พาไปดูหน้าท่านศาสตราจารย์ก่อน

ooooooo


ญาติของการิมจัดให้ตามคำขอของชารีฟโดยพาการิมและชารีฟมาซุ่มอยู่แถวหน้าบ้านศาสตราจารย์โมฮัมหมัด เห็นรถของท่านแล่นมาจอด คนขับรถลงมาเปิดประตูให้เจ้านาย ทันทีที่เห็นหน้าเป้าหมายชัดเจนชารีฟกับการิมถึงกับตะลึงที่หน้าตาเขาคล้ายชารีฟมากเพียงแต่แก่กว่าเล็กน้อย การิมพึมพำเบาๆ

“บอกเป็นฝาแฝดยังเชื่อเลย”

จากนั้น ทั้งสามคนพากันมายังห้องพักซึ่งใช้เป็นกองบัญชาการชั่วคราว การิมจัดการแต่งหน้าให้ชารีฟดูเป็นคนสูงวัยให้เหลือเค้าศาสตราจารย์โมฮัมหมัดน้อยที่สุด แล้วเอากระจกให้เขาส่องดูตัวเอง

“เมื่อท่านศาสตราจารย์มองเห็นหน้าคนรับใช้คนใหม่ เขาจะต้องไม่ตกใจว่าหน้าเหมือนเขา เราจึงต้องแต่งให้แปลกกว่าหน้าจริงของท่าน” การิมอธิบาย

“เขาไม่ตกใจหรอกเพราะนี่เรายังจำตัวเองไม่ได้เลย” ชารีฟยิ้มพอใจ...

ในเวลาต่อมา ญาติของการิมพาชารีฟและการิมไปพบศาสตราจารย์โมฮัมหมัดที่บ้าน แนะนำว่าเป็นคนรับใช้คนใหม่ที่ท่านสั่งให้หา ศาสตราจารย์มองสำรวจชารีฟสลับกับการิมไปมา เห็นชารีฟมองตอบด้วยสายตาซื่อๆรู้สึกถูกใจ ถามว่าคนไหนที่จะมาเป็นคนรับใช้คนใหม่ ชารีฟค้อมหัวให้อย่างนอบน้อมบอกว่าเป็นเขาเอง

ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดยิ้มพอใจ เดินนำชารีฟเข้าบ้าน ชายผู้อ่อนวัยกว่ามัวแต่มองกิริยาท่าทางของเจ้านายคนใหม่ไม่ทันดูทาง เดินสะดุดพรมหน้าคะมำกระแทกเขาเต็มแรงจนเซถลา ชารีฟพยายามคว้าตัวไว้ แต่กลับเสียหลักล้มลงไปด้วยกัน ศาสตราจารย์จ้องชารีฟเขม็ง เขารีบตีหน้าเซ่อทำตาปริบๆ ท่านถามเสียงเข้มว่าใครควรจะลุกขึ้นก่อน ชารีฟทำหน้าซื่อตาใสไม่รู้ว่าใครต้องลุกขึ้นก่อน

“เจ้านั่นแหละลุกขึ้นก่อน แล้วประคองเราให้ลุกขึ้นในฐานะที่เราเป็นเจ้านายของเจ้า”

“อ้อ...จริงสิ ขอโทษนายท่าน” ชารีฟดึงตัวเจ้านายขึ้นมา รีบไปหยิบกระเป๋าเอกสารที่กระเด็นตกพื้นแล้วจ้ำพรวดๆออกไป ศาสตราจารย์ร้องเรียกให้กลับมาก่อน สอนว่าห้ามเดินนำเจ้านาย แล้วเดินขากะเผลกนิดๆนำไป ชารีฟจำท่าเดินของเขาไว้ ก่อนจะสาวเท้าตาม อยู่ๆ ศาสตราจารย์หันขวับมาถามว่าเขาเป็นใคร

ชารีฟไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งโหยง “ข้าพเจ้า...เอ่อ ไม่เข้าใจ”
“เจ้าตกใจง่าย เจ้าดูผิดปกติ มีพิรุธ ข้าชักสงสัยแล้ว”

“ให้อภัยข้าพเจ้าเถิดท่านศาสตราจารย์ ข้าพเจ้าทราบแต่ว่าท่านเป็นหมอใหญ่...ใหญ่มาก ท่านเก่งมากใครๆก็ร่ำลือว่าท่านเป็นหมอเทวดา ข้าพเจ้าไม่เคยอยู่ใกล้คนใหญ่โตอย่างนี้ จึงประหม่ายิ่งนัก”

ศาสตราจารย์มีท่าทีผ่อนคลาย แต่ไม่วายซักอีก ว่าทำไมคนจัดหางานถึงเลือกเขามารับใช้ตน ชารีฟ ขอร้องทางนั้นเอง เนื่องจากตัวเองเป็นคนโง่เซ่อซ่า อยากจะฉลาดเหมือนคนอื่นบ้างก็เลยขอมาอยู่กับผู้ปราดเปรื่องอย่างท่าน ศาสตราจารย์หัวเราะชอบใจ ชารีฟแสร้งหัวเราะเสียงดังตามไปด้วย เจ้านายคนใหม่หยุดกึก

“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าหน้าเหมือนข้า”

“ก็...มีคนพูดเหมือนกับนายท่าน”

“ก็ไม่เหมือนทีเดียวหรอก แค่มีเค้า เอาล่ะเจ้าไปได้” ศาสตราจารย์โบกมือไล่ ชารีฟลอบถอนใจโล่งอก

ooooooo

ตลอดเวลาที่อยู่รับใช้ศาสตราจารย์โมฮัมหมัด ชารีฟคอยสังเกตและจดจำท่าทาง วิธีเดิน แม้กระทั่งกิริยาอาการเวลาที่เขาเผลอตัว เช่น ตอนใช้ความคิด เขามักจะใช้นิ้วชี้ทาบสันจมูก และเขาจะไม่ยิ้มเห็นฟัน แต่จะยิ้มแค่มุมปากเท่านั้น ใช้เวลาไม่นานนัก ชารีฟก็จดจำทุกอย่างได้ขึ้นใจ...

เช้าวันหนึ่งขณะที่ชารีฟถือกระเป๋าเอกสารตามมาส่งเจ้านายขึ้นรถไปทำงาน การิมซึ่งซุ่มดูอยู่แถวนั้น รอจนรถของศาสตราจารย์ลับสายตา รีบเข้ามาทักแล้วตามเขาเข้าไปในบ้าน จากนั้น ชารีฟแสดงท่าทาง เลียนแบบศาสตราจารย์โมฮัมหมัดให้การิมดู เริ่มจากประคองกล้องยาสูบด้วยมือซ้าย หมุนไปมานิดหน่อย แล้วยกขึ้นแตะริมฝีปากก่อนจะคาบไว้ที่มุมปาก

“เขาทำอย่างนี้ทุกครั้งก่อนจะสูบ ต้องหมุนไปมา อย่างนี้...เขาไม่เคยยิ้มเห็นฟัน ยิ้มมุมปากทุกครั้ง” ชารีฟพูดจบลุกขึ้นเดินด้วยท่าทางของศาสตราจารย์โมฮัมหมัดไม่มีผิดเพี้ยน “ขาซ้ายเขาไม่ดีเพราะตกม้าตั้งแต่ยังเด็กต้องเดินตะแคงข้างนิดๆ ไม่สังเกตอาจไม่รู้หรอก แล้วเวลาเขาใช้ความคิด เขาจะเอานิ้วชี้ทาบสันจมูกแบบนี้นะแล้วก็คิด” ชารีฟทำท่าทางให้ดูประกอบคำพูด

แม้จะพอใจที่เลียนแบบทุกอิริยาบถได้เหมือนเจ้าตัวมาก แต่ชารีฟกลับมีสีหน้าหม่นหมอง บ่นกับการิม ว่าภารกิจครั้งนี้ทำให้เขาทุกข์ใจมาก เพราะจรรยาบรรณแพทย์ในตัวเขายังมีอยู่เต็มเปี่ยม การิมพลอยเศร้าไปด้วย ชารีฟสลัดความทุกข์ใจทิ้ง ปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วถามว่ามีข่าวอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างไหม

“ไม่มี ทุกอย่างตามแผนเดิม อีกสิบห้าวันท่าน ศาสตราจารย์จะออกเดินทาง”...

ดึกวันเดียวกัน ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดเพิ่งกลับจากทำงาน ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง ชารีฟกุลีกุจอยกน้ำชาชงใหม่ๆมาวางให้ ท่านมองเขาอย่างพอใจ

“เบื่อไหม ต้องรับใช้ผิดเวลา”

“ไม่เบื่อเลย ข้าพเจ้าเต็มใจอย่างมากเลย นายท่าน”

ศาสตราจารย์อดสงสัยไม่ได้ว่าชนเผ่าเบดูอินซึ่งรักอิสระไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งอย่างชารีฟ เหตุใดถึงมาทำงานอยู่กับที่  เขาอ้างว่าเบื่อชีวิตพเนจร อยากหาความเจริญใส่ตัว จึงมารับใช้คนเก่งอย่างท่าน

“เราจะเดินทางไปทำงานพิเศษในดินแดนของเจ้า ค่าจ้างนั้นแพงมากพอที่เราจะมาลงทุนในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ถ้าสำเร็จจะให้เจ้าทำงานด้วย”

“ขอบพระคุณนายท่าน...นายท่านจะไปทำงานพิเศษนี้เมื่อไหร่” ชารีฟแกล้งถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว...

ถึงจะทำตัวให้ดูโง่ๆ เซ่อๆ แต่เรื่องการปรนนิบัติรับใช้ชารีฟทำได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง ทำให้ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดพอใจและไว้วางใจเขามากขึ้นทุกขณะ

ooooooo

ณ ตำหนักหลวงเมืองฮิลฟารา องค์โอมานล่วงรู้แผนการของฝ่ายตรงข้ามหมดแล้ว จึงประกาศกลางที่ประชุมเหล่าทหารน้อยใหญ่เป็นนัยๆว่า โรคไส้เลื่อนทำให้พระองค์เจ็บปวดมากขึ้นเห็นทีจะต้องรีบผ่าตัด แล้วหยิบมีดวงเดือนขึ้นมาลูบคมเล่น

“เปลี่ยนเวลาผ่าตัดให้เร็วขึ้น เราคอยไม่ไหวแล้ว สิบห้าวันนานไป” สิ้นเสียงรับสั่ง องค์โอมานสะบัดมีดในมือไปมา ยิ้มอย่างมีเลศนัย...

ข่าวเร่งให้มีการผ่าตัดรู้ถึงศาสตราจารย์โมฮัมหมัดในค่ำวันเดียวกัน จึงสั่งให้ชารีฟจัดกระเป๋าเดินทาง ให้เตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้พออยู่ได้สองอาทิตย์และสั่งให้ชารีฟเตรียมตัวไปกับเขาด้วย เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้ ชารีฟทั้งตกใจทั้งเครียดแต่ต้องทำสีหน้าเป็นปกติ รอจนศาสตราจารย์เข้านอนแล้ว ลอบออกไปพบการิมที่บ้านพักเพื่อแจ้งข่าวสำคัญนี้ แล้วลากเขาออกไปด้วยกัน

ครู่ต่อมา ชารีฟและการิมมาถึงร้านขายขนมปังในเมืองซึ่งเจ้าของร้านเป็นสายของฝ่ายองค์อาหเม็ด แล้วกดกริ่งหน้าประตูร้านยาวสองครั้งสั้นสามครั้งเป็นรหัสตามที่ตกลงกันไว้ อึดใจเดียวเจ้าของร้านเปิดประตูออกมาโวยใส่จะมาซื้อขนมปังอะไรป่านนี้ ขายหมดตั้งแต่บ่ายแล้ว มีแต่ขนมปังขึ้นราจะเอาไหม

“ถึงจะเป็นขนมปังขึ้นราเขียวเป็นจ้ำๆ ปิ้งก็ไม่สุก กินแทบไม่ลง แต่เราก็จะซื้อ”

เจ้าของร้านพยักหน้าอย่างรู้กัน แล้วพาทั้งคู่ไปยังห้องเล็กๆ หลังร้าน ถามชารีฟว่ามีเรื่องอะไร เขาแจ้งว่าท่านศาสตราจารย์จะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า เจ้าของร้านตกใจ

“หา!...พรุ่งนี้ ไม่ใช่อีกสิบห้าวันหรือ ตายแล้วตายแน่ๆ จะทำอะไรทันล่ะ กองคาราวานกว่าจะเดินทางถึงกิโลเมตร 48 ก็ใช้เวลาอย่างน้อย 3 วันไม่มีทางทันหรอก เปลี่ยนแปลงกะทันหันอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ทำงานอยู่คนเดียวนี่”

“ท่านต้องทำอะไร”

“ข้าพเจ้าต้องจัดกองคาราวานไปที่กิโลเมตร 48 พอเปลี่ยนตัวแล้ว ข้าพเจ้ารับศาสตราจารย์และนำไปให้อับดุลลาที่โอเอซิสบาฮารี”

ชารีฟนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามเจ้าของร้านขนมปังว่า มีเครื่องรับส่งวิทยุใช่ไหม เขามีแต่ใช้การไม่ได้ การิมถึงกับหน้าเสีย มองชารีฟเป็นเชิงถามว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี...

ในเวลาเดียวกัน องค์โอมานร้อนใจอยากให้ชารีฟมาติดกับในเร็ววัน เรียกซาอิ๊บมาถามจะมีทางรู้ได้อย่างไรว่าฝ่ายโน้นรู้ว่าเราเปลี่ยนแผน เขาทูลว่า มีทางเดียวที่พวกนั้นจะติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วคือทางวิทยุ

“สั่งตรวจสอบวิทยุทุกคลื่นตลอด 24 ชั่วโมง” องค์โอมานสั่งการทันที

ooooooo

ขณะที่องค์โอมานสั่งให้ดักฟังคลื่นวิทยุ ชารีฟกำลังซ่อมเครื่องรับส่งวิทยุอยู่ในร้านขนมปังอย่างขะมักเขม้นโดยมีการิมกับเจ้าของร้านขนมปังคอยเอาใจช่วย ซ่อมอยู่นานสองนานยังไม่สำเร็จ ราชองครักษ์หนุ่มเหลือบมองนาฬิกาแล้วถึงกับหน้าเคร่งเครียด

“ใกล้ตีห้า ใกล้เวลาท่านศาสตราจารย์ตื่น...ลองอีกที” ชารีฟพูดจบ ก้มหน้าก้มตาซ่อมเครื่องรับส่งวิทยุต่อไป เหงื่อเริ่มผุดตามใบหน้า แต่นัยน์ตายังคงมุ่งมั่น เจ้าของร้านไม่รู้จะช่วยอะไรได้ คุกเข่าสวดอ้อนวอนขอให้สำเร็จ สักพัก มีแสงสีแดงปรากฏที่หน้าจอเครื่องรับส่งวิทยุ พร้อมกับมีเสียงดังขึ้น

“ดาวเหนือ สุกสกาว ดาวเหนือเปลี่ยน”

“...ฟังเรานะดาวเหนือ จะเกิดพายุทรายก่อนกำหนด คำนวณแล้วว่าจันทร์เต็มดวงเป็นวันที่สามนับจากคืนวันนี้ พายุทรายจะผ่านก่อนกำหนด...เปลี่ยน...ดาวเหนือ รอรับสถานการณ์พายุ บอกกองคาราวานใหญ่ด้วยว่าให้นำสินค้าเข้ามาได้ตามสัญญา” ชารีฟส่งข่าวเสร็จ รีบร้อนกลับไป...

เมื่อมาถึงบ้านศาสตราจารย์โมฮัมหมัด พระอาทิตย์เริ่มฉายแสงรำไร ชารีฟนั่งลงหลับตาสวดภาวนา

“ขอนมัสการองค์อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ขอได้โปรดเมตตาให้ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งที่ควรทำได้ราบรื่น เพราะพระองค์ประทานพรให้อย่างแท้จริง” ชารีฟลืมตาด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างตอนที่ส่งวิทยุ พลันสายตาเหลือบไปเห็นไฟในห้องศาสตราจารย์โมฮัมหมัดเปิด รู้ทันทีว่าเจ้านายตื่นแล้ว รีบวิ่งไปดู เห็นเขาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยรอท่าอยู่ ชารีฟแก้ตัวว่าตื่นสายไปหน่อย

“ไม่หน่อยล่ะ สายไปมาก” ศาสตราจารย์เสียงเขียว

“ข้าพเจ้าขอโทษท่านอย่างมาก ความผิดนี้ยิ่งใหญ่นัก ท่านลงโทษข้าพเจ้าได้ทุกอย่าง”

“คิดว่าควรจะถูกลงโทษอย่างไร” ศาสตราจารย์จ้องหน้าชารีฟเขม็ง ก่อนจะเดินออกจากห้อง ชารีฟคว้ากระเป๋าใส่เสื้อผ้าของเจ้านายและของตัวเองตามไปอย่างรวดเร็ว
พอมาถึงรถที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดหันมาบอกชารีฟว่าไม่ต้องไปแล้ว ตนจะไปคนเดียว แล้วคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าไปจากมือเขา ส่งให้คนรับใช้อีกคนหนึ่งเอาไปใส่ท้ายรถ ชารีฟถึงกับหน้าถอดสี การิมในคราบคนขับรถเดินมาเปิดประตูรถให้ ศาสตราจารย์จะก้าวขึ้นรถ ชะงัก หันขวับมามอง

“เจ้าไม่ใช่คนขับรถของเรานี่”
“เขาป่วยกะทันหัน นายท่าน อยู่ๆก็อ่อนเพลียอย่างแปลกประหลาด ทรงตัวยืนไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นญาติของเขา...เขาขอร้องให้มาขับแทน” การิมปั้นเรื่องเป็นฉากๆ

“เราไม่แน่ใจหรอก ทางไกลตั้งแปดสิบกิโลเมตรไปถึงริมฝั่งทะเลเชียวนะ”

การิมคุยอวดว่ารู้จักเส้นทางดี รู้ว่าตรงไหนเป็นทรายร่วนตรงไหนเป็นทรายโคลน ขอให้ได้วางใจแม้จะไม่มั่นใจนัก แต่ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดไม่มีทางเลือกจำต้องขึ้นรถ สารถีจำเป็นโค้งอย่างสุภาพก่อนจะปิดประตูรถให้ แล้วอ้อมไปนั่งประจำที่คนขับ รอให้ชารีฟที่ยืนรออยู่ตรงประตูรถด้านหน้าอีกฝั่งหนึ่งขึ้นรถ

“เอ้า ไปเสียที รออะไรอยู่ เขาไม่ไป เจ้าออกรถได้แล้ว” ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดสั่งเสียงเข้ม การิมไม่มีทางเลือกจำต้องขับรถออกไป ชารีฟมองตามด้วยสีหน้าผิดหวัง แผนการที่อุตส่าห์เตรียมมาอย่างดีพังไม่เป็นท่า ตัดสินใจจะไปส่งข่าวให้ทางองค์อาหเม็ดทราบ ยังไม่ทันจะขยับไปไหน รถของศาสตราจารย์วกกลับมาจอดรับ

“ทีหลังอย่าทำผิดอย่างนี้อีก เราต้องการให้จำ...จำไว้ว่าถ้าตื่นไม่ทันเจ้าจะโดนลงโทษอย่างนี้...ขึ้นรถได้”

ชารีฟคำนับอย่างนอบน้อม แล้วขึ้นนั่งเบาะหน้าคู่กับคนขับ เหลือบมองการิมเป็นทำนองว่าเกือบไปแล้ว

“เจ้าควรรู้ว่าเราขาดเจ้าไม่ได้ ไม่มีเจ้าไปด้วย ใครจะช่วยเราล่ะ รู้ไหมว่าเจ้ามาทำให้เราเสียนิสัยที่จะอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเจ้า” ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดพูดจบ หัวเราะชอบใจ

ooooooo

สนใจคลิก


ขณะที่ชารีฟรู้สึกได้ถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล องค์อาหเม็ดเองก็จับพิรุธได้เช่นกัน เรียกประชุมเหล่าทหารเพื่อแจ้งให้รู้ว่า พระองค์สงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามรู้แผน การของพวกเราแล้ว ทุกคนตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรพระเจ้าข้า” เจ้าชายอับดุลลามององค์อาหเม็ดอย่างรอคำตอบ

“ไม่มีใครสังเกตหรือว่าคลื่นวิทยุมันติดขัดตลอดเวลา เหมือนมีคลื่นรบกวน มันไม่เคยเป็น ถึงเราจะรู้หรือไม่รู้แน่ว่ามีคนดักฟังหรือเปล่า แต่ต้องคิดอะไรในทางร้ายที่สุดไว้ก่อน ไม่มีใครเสียอะไรมีแต่ได้ ถ้ามันเกิดเราก็ป้องกันไว้แล้ว แต่ถ้าไม่เกิด เสียหายตรงไหนถ้าเราป้องกันไว้ก่อน เอาล่ะ ใครมีความเห็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าพระองค์จะเริ่มส่งทหารเข้าฮิลฟารา” นายพลมุสกัตกราบทูล

องค์อาหเม็ดต้องการให้ส่งทหารไปทันที และต้องมีจำนวนมากเป็นสองเท่าของที่เตรียมการไว้...

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดกำลังหลับสบายอยู่ที่เบาะหลังรถ เมื่อการิมขับรถมาจอดหน้ากระโจมนัดพบกลางทะเลทราย ชายฉกรรจ์ 3 คน ซึ่งรอท่าอยู่ก่อนแล้วปราดเข้ามาประชิดตัวศาสตราจารย์ ซึ่งตกใจตื่นเพราะเสียงเอะอะ พวกนั้นลอกคราบเขาออกทีละชิ้นส่งให้ชารีฟแล้วเอาเสื้อชุดใหม่สวมให้

ไม่นานนัก ชารีฟซึ่งได้รับการแปลงโฉมจากแม็กซ์ ช่างแต่งหน้าให้ดาราละครเวทีชาวต่างชาติ เดินออกจากกระโจม พร้อมกับคาบกล้องยาสูบสวมแว่นดำ เข้ามาหาศาสตราจารย์โมฮัมหมัดด้วยหน้าตาและกิริยาท่าทาง เหมือนเขาไม่มีผิดเพี้ยน ศาสตราจารย์ผู้ชาญฉลาดเดาออกทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

“พวกแกจะทำอย่างนั้นไม่ได้ องค์โอมานจะรู้ว่าแกไม่ใช่หมอ”

กรุณาใจเย็นๆ ท่านศาสตราจารย์ องค์โอมานจะไม่ตายด้วยมีดผ่าตัดหรอก ถึงจำเป็นจะต้องผ่า เรานี่แหละจะผ่าให้”

“อย่าทำเลย วงการแพทย์ทั้งโลกจะมัวหมองจากการกระทำของเจ้า เราไม่ห่วงชื่อเสียงเรา แม้ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ตาม ซึ่งเราไม่รู้ในนามของเรา...เราเสียชื่อได้ทุกเรื่อง แต่ขออย่าให้เรื่องแพทย์ประหารคนไข้บนเตียงผ่าตัด อย่าฆ่าคนที่เขากำลังมอบชีวิตให้เจ้าและรอคอยความหวังจากเจ้า ขณะที่เจ้าถือมีดผ่าตัด เจ้ามีจรรยาบรรณแพทย์ แม้ว่าตัวตนจริงๆ ของเจ้าจะไม่มีแม้แต่จรรยาบรรณใดๆ”

คำพูดแทงใจดำ ทำให้ชารีฟถึงกับหน้าเครียด ประกาศก้องว่าจะไม่มีการผ่าตัดเป็นอันขาด

ooooooo
ที่มา:ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น