วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 5

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 5

 

ไม่นานนัก ชารีฟไล่ตามชายลึกลับจนทัน ตะคอกใส่ว่ามาแอบดูตนทำไม ชายคนนั้นละล่ำละลักว่าไม่ได้มาแอบดู ชีคอัสมันสั่งให้ตนมาเชิญท่านไปพบเป็นการด่วน คนของเราปะทะกับพวกโจรตูอิคที่จะมาขโมยม้าและอูฐจากกองคาราวาน มีคนได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนจำนวนมาก ชารีฟกระชากคอเสื้อเขาเข้ามาใกล้
“แล้วทำไมไม่เข้าไปบอกดีๆ เจ้าแอบฟังข้าพูดกันหรือ”

ชาย คนนั้นปฏิเสธว่าไม่ได้ยินอะไร ยังไม่ทันจะโผล่เข้าไปชารีฟก็เห็นเสียก่อน หมอหนุ่มเตือนว่าทีหน้าทีหลังอย่ามาทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้อีก จะบอกอะไรก็มาบอกให้ถึงตัว แล้วรีบกลับไปยังกระโจมที่พัก สั่งให้มิเชลล์เตรียมตัว มีคนเจ็บรอการรักษาหลายราย เนื่องจากถูกพวกโจรตูอิคที่เร่ร่อนปล้นฆ่าเอาม้ากับอูฐ...

กลิ่นคาว เลือดจากผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคลุ้งไปทั่วตึกใหญ่ ทำให้มิเชลล์คลื่นเหียนวิงเวียนจะอาเจียนเสียให้ได้ ชารีฟต้องเตือนสติว่าเธอคือตาฟา ผู้ช่วยของเขา ต้องช่วยกันรักษาคนพวกนี้ มิเชลล์จำต้องกัดฟัน เดินตามชารีฟตรวจอาการของผู้ได้รับบาดเจ็บ หมอหนุ่มเห็นสภาพพวกนั้นแล้วถึงกับส่ายหน้า หันไปบ่นกับชีคอัสมันว่าเราไม่มียาและเครื่องมือแพทย์ มีเพียงสองมือของเขาเท่านั้น ชีคอัสมันเชื่อมั่นว่าชารีฟจะรักษาพวกนี้ได้

“ถ้าอย่างนั้น หามีดใหม่เอี่ยมกับผ้าสะอาดๆ แล้วข้าก็ต้องการแอลกอฮอล์จำนวนมาก”

ชี คอัสมันครุ่นคิดหนักจะไปหาแอลกอฮอล์ที่ไหนมาใช้ฆ่าเชื้อ แล้วนึกถึงสองพี่น้องขี้เมากาเซ็มกับนะหมัดขึ้นมาได้ สั่งให้ยูซุฟไปเอาเหล้าทั้งหมดของพวกนั้นมา...

ครู่ต่อมา ยูซุฟกับลูกน้องกรูกันเข้าไปขนเหล้าของสองพี่น้องขี้เมามาหมดบ้าน กาเซ็มโวยวายลั่นว่าเอาเหล้าของพวกตนไปทำไม แล้วเข้าไปขวางทาง ยูซุฟผลักกระเด็นลงไปกองกับพื้น แล้วชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง

“ไอ้คน นอกศาสนา ไอ้พวกขี้เหล้า ขี้ขโมย กูไม่ฆ่ามึงก็นับว่าบุญแล้วโว้ย เฮ้ยเร็ว นายแพทย์อวีเซ็นน่าบอกให้ขนไปให้หมด” ยูซุฟเสียงเข้ม นะหมัดกับกาเซ็มแค้นใจมาก หมายหัวคนที่สั่งการเรื่องนี้...

หลังจาก ผ่าตัวเอาหัวกระสุนออกจากคนไข้สำเร็จไป หลายราย ชารีฟทั้งเหนื่อยทั้งร้อนเหงื่อท่วมตัวจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก แล้วถลกแขนเสื้อตัวในขึ้นอีก จากนั้นก็ลงมือผ่าตัดคนไข้รายต่อไป ขณะที่เขาลงมีดกรีดเอาหัวกระสุนออก สร้อยห้องเหรียญตราประจำราชวงศ์โผล่ออกมาจากคอเสื้อ หมอผีที่คอยสังเกตการณ์มองเหรียญตราอย่างสนใจ อากัปกิริยาของเขาไม่พ้นสายตาจ้องจับผิดของมิเชลล์ไปได้...

กว่าชารี ฟจะจัดการคนเจ็บรายสุดท้ายเสร็จ ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เขากลับไปยังกระโจมที่พักทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดเรี่ยวแรง มิเชลล์ถือเสื้อคลุมตัวนอกตามมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยที่เขาต้องเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืน บอกให้นอนพักได้แล้ว ชารีฟชมเธอเป็นการใหญ่ที่อดทนอยู่ช่วยจนถึงคนสุดท้าย ไม่เป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน มิเชลล์ออกตัวว่ากลัวแล้วกลัวอีกเลยกลายเป็นความชินชาไปโดยปริยาย

“เก่งมาก...แต่เราไม่มียาแก้อักเสบหรือยาแก้ติดเชื้อเลย สงสารคนพวกนั้น คงต้องปล่อยไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”

“เอ่อ หมอผีเฒ่าคนนั้น เขามองท่านแปลกๆ แล้วเขาก็รีบออกไปไหนไม่ทราบ”

ชา รีฟขอร้องให้เลิกฝังใจกลัวตาแก่คนนั้นได้แล้ว เขาเกิดที่นี่ เขาต้องซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินแม่ของตัวเอง มิเชลล์แดกดันว่าที่รบกันโครมๆบนโลกใบนี้ไม่ใช่เพราะคนในประเทศทรยศต่อแผ่น ดินเกิดตัวเองหรือ อีกทั้งกษัตริย์โอมานก็เกิดที่นี่ยังคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน ชารีฟนิ่งเงียบไปเลย

“เถียงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ...ดิฉันกลัวหมอผีเฒ่าจะเอาข่าวของเราไปบอกตำรวจทะเลทราย” มิเชลล์หันมองอีกที ชารีฟหลับปุ๋ยไปเรียบร้อย

ooooooo

มิ เชลล์กับชารีฟนอนยังไม่ทันอิ่ม ชีคอัสมันให้ยูซุฟมาเชิญตัวไปพบ อ้างว่ามีธุระสำคัญจะคุยด้วยโดยไม่รู้ว่าหลังม่านด้านในสุดของที่พักภรรยา ของชีคอัสมันกำลังชี้ชวนให้ลูกสาวทั้งสามคนดูหน้าว่าที่เจ้าบ่าวของพวกเธอ ลูกคนโตและคนรองพอใจชารีฟที่ทั้งสง่าและองอาจสมชาย

ลูกสาวคนเล็กกลับ ติมิเชลล์ในคราบเด็กหนุ่มว่าหน้าตาหล่อก็จริงแต่เหมือนผู้หญิงไปหน่อย แต่เธอก็พอใจที่จะได้เป็นภรรยาของเขา เด็กสาวทั้งสามคนอยากจะพบว่าที่เจ้าบ่าวของตนใจจะขาด แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อชายหนุ่มทั้งคู่ตกปากรับคำเป็นลูกเขยของชีคอัสมันและ ภรรยาเสียก่อน

“เมื่อไหร่พ่อจะพูดเสียที ลูกใจเต้นเต็มทนแล้ว” ลูกสาวคนเล็กมองมิเชลล์ผ่านม่านกั้นอย่างพึงพอใจ...

ใน ที่สุดชีคอัสมันก็เอ่ยปากบอกชารีฟว่าจะยกลูกสาวสองคนให้แล้วจะแถมตำแหน่งผู้ นำเผ่าให้อีกด้วยเขาปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดว่ายังไม่พร้อม มีงานต้องทำอีกมาก เกรงจะดูแลลูกสาวของชีคอัสมันได้ไม่เต็มที่ ชายผู้สูงวัยกว่าสีหน้าผิดหวัง ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ หันไปบอกมิเชลล์ว่าจะยกลูกสาวคนสุดท้องให้
“ไม่ เอา...ลูกพี่ข้าไม่รับ ข้าก็ไม่รับ” มิเชลล์ปฏิเสธเสียงแข็ง ชารีฟนึกสนุกขึ้นมา แกล้งอนุญาตให้เธอแต่งงานได้ มิเชลล์ยังไม่อยากแต่งงานอยากอยู่กับเจ้านายอย่างนี้ไปก่อน ชารีฟยุแหย่ไม่เลิกไม่แล้วจนเธอเหลืออด แกล้งประชดประชันกลับบ้าง

“คิด ดูอีกทีก็ดีเหมือนกัน ข้าแต่งงานอยู่รับใช้ท่านชีคไม่ต้องออกไปไหนให้เหนื่อยยาก ทะเลทรายร้อนระอุไปหมด ข้าชักจะเข็ดแล้ว” มิเชลล์พูดจบหันไปยิ้มยั่วชารีฟซึ่งตีหน้ายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เธอชักจะใจไม่ดีชีคอัสมันยิ้มพอใจ หันไปสั่งการให้ยูซุฟตรวจทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการเดินทางของชารีฟในวัน พรุ่งนี้

“ยูซุฟ ข้าจะไปตรวจพ่อของเจ้าอีกครั้ง ก่อนจากไป”

ยู ซุฟฉีกยิ้มดีใจ รีบเดินนำชารีฟออกไปทันทีโดยมีมิเชลล์ตามไปติดๆ พอเห็นยูซุฟไม่ได้สนใจมอง เธอต่อว่าชารีฟเป็นการใหญ่ที่ยุยงส่งเสริมให้เธอรับลูกสาวของชีคอัสมันเป็น เมีย ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้

“อ้อ เพิ่งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้นะเนี่ย เจ้าไม่บอกข้าก็ไม่รู้หรอก คิดว่าเป็นไปได้เสียอีก เห็นเจ้าเออออกับท่านชีคเสียดิบดี” ชารีฟพูดจบหัวเราะชอบใจ มิเชลล์หมั่นไส้ทุบเขาเต็มแรงไปหนึ่งที...

ทาง ฝ่ายพ่อของยูซุฟถือเป็นบุญคุณอย่างเหลือล้นที่ชารีฟมีแก่ใจมาดูอาการป่วยให้ อีกครั้ง นึกเสียดายที่เขาต้องจากที่นี่ไป แล้วสั่งสอนลูกชายว่าบุญคุณของชารีฟครั้งนี้นอกจากจะต้องจดจำไปชั่วชีวิต แล้ว หากเมื่อใดที่มีโอกาส เขาต้องทดแทนบุญคุณด้วย...

มิเชลล์หมดแรง ทรุดตัวลงนั่งทันทีที่เข้ามาในกระโจมที่พัก ล้ามาตั้งแต่เมื่อคืนที่ต้องช่วยกันรักษาคนเจ็บบอกให้ชารีฟไปนอน เขาเหน็ดเหนื่อยกว่าเธอมากนัก ชายหนุ่มไม่พูดพล่ามอุ้มเธอตัวปลิวไปวางบนที่นอน ดึงผ้ามาห่มให้ บอกให้นอนได้แล้ว มิเชลล์หลับตาลงอย่างว่าง่าย ครู่เดียวก็หลับสนิทไปด้วยความอ่อนเพลีย ชารีฟนั่งมองเธอด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความรัก เสยผมที่ปกหน้าผากก่อนจะก้มลงจูบ แล้วไล่มาจูบที่เปลือกตาทั้งสองข้างและที่ปลายจมูก จนกระทั่งจะถึงริมฝีปาก แต่กลับชะงัก ตัดสินใจล้มตัวลงนอนข้างๆ

“หลับให้สบายนะ พรุ่งนี้เช้ามืดเราจะเดินทางแล้ว เดินทางไกลนะคราวนี้” ชารีฟพึมพำเบาๆ...

ใน เวลาไล่เลี่ยกัน ชีคอัสมันยังไม่ละความพยายาม จะเอาชารีฟมาเป็นลูกเขยให้ได้ จ้างวานยูซุฟให้พาตัวเขากลับมาที่จาอุฟหลังจากขายอูฐและม้าเสร็จแล้ว จะใช้เล่ห์กลหลอกล่ออย่างไรก็ได้ แต่ต้องเอาตัวชารีฟกลับมาให้ได้ ยูซุฟไม่เข้าใจทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ ชีคอัสมันยกลูกสาวให้แต่ชารีฟไม่รับ

“อ้าว แล้วท่านจะให้เขากลับมา เขาจะรับลูกสาวท่านเป็นเมียหรือ”

ชี คอัสมันจะใช้วิธีบังคับ มอมยา จู่โจม จัดการรวบรัดให้ชารีฟเป็นผัวลูกสาวของเขาให้ได้ เขาจะยกลูกสาวให้ชารีฟสองคนและให้ไอ้หนุ่มน้อยนั่นหนึ่งคน ยูซุฟงงไม่หาย เหตุใดชารีฟถึงปฏิเสธข้อเสนอดีๆแบบนี้

ooooooo

เช้ามืดวัน รุ่งขึ้น กองคาราวานพร้อมด้วยอูฐ ม้าและแกะ เตรียมจะออกเดินทาง ชีคอัสมันตามมาส่งชารีฟและแจ้งว่ายูซุฟจะคอยดูแลเขาจนถึงเมืองซากากาอย่าง ปลอดภัย ชารีฟขอบคุณหัวหน้าเผ่าสำหรับทุกอย่างแล้วโดดขึ้นหลังม้า มิเชลล์แอบขึ้นม้าอีกตัวหนึ่งไม่ให้ชีคอัสมันเห็น แต่เขาหันมาพอดีตะโกนลั่น

“ตาฟาจะไปไหน...กลับมา ไหนบอกข้าจะไม่ไปไงล่ะ ลูกสาวข้ารออยู่”

มิ เชลล์หน้าเหลอมองชารีฟเป็นทำนองขอความช่วยเหลือ เขาแก้ตัวกับชีคอัสมันว่าเป็นเพราะเขาเองขอร้องให้เด็กหนุ่มไปด้วยกันก่อน เนื่องจากไม่มีใครคอยรับใช้ ชีคอัสมันจำต้องปล่อยว่าที่ลูกเขยคนเล็กไป แต่เตือนว่าต้องกลับมาหาลูกสาวของตนตามสัญญา มิเชลล์รับคำ รีบควบม้าออกไปทันทีเกรงเขาจะเปลี่ยนใจ...

ระหว่างทางไปเมืองซากากา ยูซุฟเล่าให้ชารีฟฟังว่า ที่เมืองนั้นออกจะวุ่นวายอยู่สักหน่อย เนื่องจากจะมีพ่อค้ามาประมูลสัตว์หลายราย บางครั้งถึงกับแย่งกัน ต้องมีตำรวจมาคอยคุมความเรียบร้อย ยูซุฟเห็นสีหน้าตื่นๆของชารีฟ รีบบอกว่าไม่ต้องกลัว ทางสายสืบของเขารายงานว่า ตลอดอาทิตย์นี้จะไม่มีตำรวจมาตรวจรับรองปลอดภัยแน่นอน ไม่ต้องกังวลใจ ชารีฟรู้ทันทีว่าชีคอัสมันคงบอกเรื่องของตนให้ยูซุฟฟังหมดแล้ว

“มัน จำเป็น เพราะข้าได้รับคำสั่งให้เป็นผู้พิทักษ์ท่าน” ยูซุฟสีหน้าครุ่นคิดถึงแผนการที่ชีคอัสมันสั่งให้ทำ ตัดสินใจหว่านล้อมให้ชารีฟกลับจาอุฟ แต่ไร้ผล...

แม้แสงแดดจะแผดเผา แต่กลับมีลมหนาวพัดกระโชกตลอดเวลา มิเชลล์หนาวสะท้านถึงกับต้องห่อไหล่ ชารีฟรีบชักม้ามาเทียบกระซิบว่าหนาวมากไหม  เธอยืดตัวตรงทำท่าเข้มแข็ง เป็นทำนองยังไหวไม่ต้องเป็นห่วง

“ความจริงท่านน่าจะแต่งงานกับลูกสาวชีคอัสมันแล้วหยุดเร่ร่อนไปอย่างเสี่ยงๆแบบนี้”

“แล้วเธอล่ะ”

มิ เชลล์ตั้งใจว่า ถ้าชารีฟได้เป็นเขยของชีคอัสมัน จะขอให้เขาหาทางส่งเธอไปยังสถานฑูตฝรั่งเศสที่เกชาห์เพื่อจะได้เดินทางต่อไป ยังปารีส ชารีฟถามด้วยความน้อยใจว่าเธอไม่อาลัยอาวรณ์ที่นี่บ้างเลยหรือ

“ถ้า ดิฉันรอดตายไปจากที่นี่ ดิฉันคงจะรำลึกอยู่เสมอว่าครั้งหนึ่งเคยได้มาผจญภัยอย่างเฉียดฉิวกับความตาย ที่สุด แล้วก็คงรำลึกถึงท่านพันเอกชารีฟผู้ กล้าหาญมีน้ำใจมีเมตตากรุณาต่อดิฉัน...ดิฉันจะไม่มีวันลืมมิตรภาพระหว่าง เรา” มิเชลล์พยายามเว้นระยะห่างของความสัมพันธ์ไว้ทั้งๆที่ตัวเองก็มีใจให้เขา เช่นกัน

ชารีฟทั้งน้อยใจทั้งโกรธที่ความรู้สึกระหว่างเราสองคนเป็นแค่มิตรภาพที่ดีต่อกันเท่านั้น...

ขณะ ที่มิเชลล์พยายามปฏิเสธหัวใจตัวเอง  โจรสองพี่น้องนะหมัดและกาเซ็ม สะกดรอยตามกองคาราวานของยูซุฟไม่ให้คลาดสายตา หวังจะล้างแค้นชารีฟให้สาแก่ใจที่บังอาจมายึดเหล้าของพวกตน...

ตก เย็นกองคาราวานของยูซุฟมาถึงหน้าผาเหนือเมืองซากากา มิเชลล์ลงจากหลังม้ายืนชมวิวของตัวเมืองยามพลบค่ำ ชารีฟเข้ามายืนข้างๆ อธิบายให้ฟังว่าที่นี่เป็นเพียงเมืองทางผ่านจึงไม่มีตึกรามใหญ่โตหรือถนน คอนกรีตให้เห็น ยูซุฟตามมาสมทบ ตบหลังตบไหล่มิเชลล์ด้วยความเอ็นดูเพราะคิดว่าเป็นเด็กหนุ่ม

“พรุ่งนี้เช้าลงไปในเมือง เจ้าจะได้กินขนมอร่อยๆ ขอเงินเจ้านายของเจ้าสิ แล้วออกเที่ยวให้สนุก”

มิ เชลล์ยืนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ ยูซุฟกระเซ้าว่ากลัวอะไรหนักหนา โตเป็นหนุ่มแล้วไม่ใช่เด็กๆจะคอยเกาะติดชารีฟแบบนี้ได้อย่างไร ชารีฟดึงมิเชลล์ออกจากยูซุฟแบบเนียนๆ แก้ตัวแทนว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ขี้ขลาดมาตั้งแต่เด็กแล้ว แถมยังขี้อ้อน ขี้น้อยใจสารพัด ยูซุฟหัวเราะชอบใจกระเซ้าว่าเป็นกะเทยหรือเปล่า

“อย่าบอกใครนะ ข้าว่ามันน่ะใช่เลย” ชารีฟว่าแล้วหัวเราะไปกับยูซุฟ ขณะที่มิเชลล์แอบค้อน...

กว่า กองคาราวานจะตั้งกระโจมเสร็จ พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ที่มุมปลอดคนท้ายกองคาราวานกาเซ็มและนะหมัดอาศัยความมืดค่อยๆคลานอย่างระมัด ระวังเข้าไปใกล้จุดที่ชารีฟกับพวกกำลังกินอาหารกันอยู่ แต่โชคไม่เข้าข้างคนชั่ว  ยามเฝ้าระวังมาเห็นเสียก่อน จับตัวสองพี่น้องไปส่งให้ยูซุฟสอบสวน

พวกนั้นปั้นเรื่องว่าเพิ่งเสร็จจากเอาของไปขายในเมือง เลยจะมาขอติดกองคาราวานกลับจาอุฟด้วยเพราะเส้นทางขากลับอันตราย

“เราไม่กลับทางเก่า ถ้าจะกลับกับเราก็ไปรอที่ปากทางออกจากเมืองซากากา” ยูซุฟพูดจบ สั่งยามเฝ้าระวังให้พาตัวทั้งคู่ไปไว้ท้ายขบวนคาราวาน  สั่งห้ามมายุ่มย่ามหน้าขบวนเด็ดขาด นะหมัดมองชารีฟไม่วางตา  จนคนถูกมองอดสงสัยไม่ได้ ยูซุฟชี้แจงว่าความจริงไม่อยากให้สองพี่น้องนั่นกลับด้วย แต่เห็นว่าเป็นคนอยู่เมืองเดียวกัน ถ้าผลักไสไม่ให้ไปด้วยก็จะดูใจจืดใจดำเกินไป แล้วเชิญชารีฟไปพักผ่อน

“ตา ฟา เจ้าไปนอนในกระโจมกับลูกน้องข้าทางโน้น...เชิญท่านชารีฟนอนในกระโจมเดียวกับ ข้าทางนี้” ยูซุฟเดินนำชารีฟออกไป มิเชลล์หน้าเสีย หันรีหันขวางไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าน้ำตาคลอ  สักพัก ชารีฟเข้ามาแตะไหล่ มิเชลล์เงยหน้ามอง ก่อนจะฉีกยิ้มทั้งน้ำตา

“คิดได้ยังไงว่าฉันจะทิ้งเธอให้ไปนอนรวมกลุ่มในกระโจมกับคนงานผู้ชายนั่น”

ooooooo


หมอ ผีเฒ่าขี่ม้ารอนแรมในทะเลทรายจะไปตามตำรวจมาจับตัวชารีฟกลับพบแต่พวกเบดูอิน เร่ร่อน จึงขอให้พวกนั้นช่วยพาไปที่ไหนก็ได้ที่มีกองตำรวจทะเลทราย พวกนั้นอยากรู้ว่าเขาจะไปพบตำรวจทำไมชารีฟซึ้งใจที่มิเชลล์เชื่อ มั่นในตัวเขา อดโทษตัวเองไม่ได้ที่พาเธอสู่ความตาย ทั้งๆ ที่พวกกบฏต้องการชีวิตเขาเพียงคนเดียว แล้วถามเธอว่ากลัวความตายไหม เธอไม่กลัวอะไรทั้งสิ้นตราบที่เขาอยู่เคียงข้าง ทั้งคู่แยกย้ายกันตรวจดูข้าวของเผื่อจะเหลืออะไรบ้าง พวกโจรขนเสบียงอาหารไปหมด เหลือเพียงผ้าห่มกับเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น

มิ เชลล์เดินโขยกเขยกสำรวจรอบๆอีกครั้ง ถึงกับยิ้มออกเมื่อเห็นถุงใส่ส้มที่ซื้อมาจากตลาดในเมืองซากากาหมกอยู่ใน ทราย รีบคว้าไปนั่งกินด้วยกัน ชารีฟช่วยตรวจดูข้อเท้าที่บาดเจ็บของเธอให้ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์

“ขาของเธอสวยเหลือเกินมิเชลล์” ชารีฟพึมพำเบาๆ มิเชลล์ดึงขากลับต่อว่า ว่าเรากำลังจะตายอยู่แล้วเขายังมีอารมณ์แบบนี้อีก ชารีฟรู้ดีว่ากำลังจะตายถึงพยายามตักตวงทุกอย่างท่ีเรียกว่าความสุขให้กับ ตัวเองแล้วเกิดฮึดสู้ขึ้นมา ตัดสินใจจะไม่นั่งรอความตายอยู่ตรงนี้ จะเดินทางไปให้ถึงโอเอซิสใกล้เมืองอานาอิชาให้ได้

ooooooo

หลัง จากเดินเท้ามาทั้งคืนจนสว่างคาตา ชารีฟกับมิเชลล์หยุดตั้งกระโจมนอนพักเอาแรง กว่าจะตื่นอีกทีพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว มิเชลล์อยากให้ขาของตัวเองหายเร็วๆ จะได้เดินทางได้คล่องตัวขึ้น แต่คงจะไปได้ไม่ไกลอยู่ดี เพราะเรามีเพียงส้มไม่กี่ลูกที่ใช้ประทังชีวิต เขามองสบตาเธอก่อนจะรั้งตัวมากอด

“ถ้าเราจะตายที่นี่ ก็ขอให้สมใจในความรักเถอะมิเชลล์ ถ้าเราโชคดีได้หลุดพ้นขุมนรกแห่งนี้ เธอยังจะกลับฝรั่งเศสอีกหรือเปล่า”

มิ เชลล์ทนกับประเพณีที่จะให้ฝ่ายชายมีเมียอีกสามคนนอกจากเธอไม่ได้ ถ้าพ้นไปจากที่นี่ได้เธอจะกลับปารีส แล้วขอร้องให้ชารีฟปล่อย เขาไม่ยอมให้เธอจากไปไหนเด็ดขาด พรมจูบไปทั่วตัวพลางถามเสียงเครือว่ารักเขาแล้วใช่ไหม หญิงสาวหลับตานิ่งไม่ยอมตอบ ชารีฟให้สัญญาด้วยเกียรติยศของตัวเองว่าครอบครัวของเราจะมีเพียงพ่อ แม่ และลูก จะไม่มีคนอื่น มิเชลล์ตาเป็นประกายด้วยความพอใจ

“ดิฉันขอโทษ ที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ แต่ดิฉันเป็นคนขาดความรัก แล้วก็กลัวว่าความรักที่ได้ไปจะไม่ยั่งยืน ถึงจะรู้ว่าทุกคนจะต้องเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น เพราะคำมั่นสัญญาของท่านขณะนี้อาจจะเป็นสิ่งไร้ค่าในอนาคต”

ชารีฟจับไหล่มิเชลล์ให้นอนลงอย่างทะนุถนอม ความรักที่ล้นหัวใจพาให้ทั้งคู่สมปรารถนาในที่สุด...

ขณะที่มิเชลล์รับรักจากชารีฟด้วยความเต็มใจ องค์โอมานถึงกับตบโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยวที่ยังหาตัว

ชารีฟไม่พบ เก็บความแค้นคับอกไประบายใส่เจ้าหญิงสุไบดากับไบคาน แต่เธอหาเกรงกลัวเขาไม่ ยังคงปิดปากสนิทไม่ยอมบอกว่าลูกชายอยู่ไหน...

ทาง ด้านมิเชลล์เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ยิ่งขาดทั้งน้ำและอาหารยิ่งทำให้ร่างกายเธอแทบไม่มีแรงจะยืนด้วยซ้ำ ชารีฟขอให้เธออดทนอีกหน่อย พ้นเนินใหญ่ข้างหน้าจะถึงเมืองร้าง มีตึกเก่าๆ พอให้เราสองคนได้หลบลมหนาว หญิงสาวพยักหน้าทั้งที่ยังหลับตา แล้วนิ่งเงียบไป ชารีฟใจไม่ดีพยายามเรียกให้เธอได้สติ

“ดิฉันยังอยู่ ยังไม่เป็นอะไร” มิเชลล์พยายามปรือตามอง แต่สุดท้ายก็นิ่งไปอีก ชารีฟกัดฟันประคองหญิงคนรักเดินทางต่อไป เธอขอให้ทิ้งเธอไว้ที่นี่ เขายังมีภาระที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติ อย่าให้เธอต้องเป็นตัวถ่วง

“ไม่ ได้ เราจะต้องไปด้วยกัน เธอจะให้ฉันทิ้งเมียของตัวเองได้ยังไง” ชารีฟกัดฟันพาหญิงคนรักไปถึงเมืองร้างจนได้ เทพแห่งโชคยังเข้าข้างทั้งคู่ ที่นั่นมีกองคาราวานตั้งค่ายพักอยู่ ติเยาะซึ่งอยู่ในกองคาราวานด้วย จำคุณครูใจดีที่ให้เงินเธอกับลูกได้ ขอร้องอาลีพี่ชายของเธอให้ช่วยเหลือ

อาลี คิดว่ามิเชลล์เป็นผู้ชายไม่ยอมให้น้องสาวเข้าไปช่วยทั้งๆ ที่เธอยืนยันว่าคุณครูเป็นผู้หญิง ชารีฟต้องช่วยยืนยันอีกแรงหนึ่งว่าคนที่หมดสติคนนั้นเป็นเมียของเขาเอง...

ใน ที่สุดอาลีก็ยินยอมให้มิเชลล์กับชารีฟมากับกองคาราวานของตนจนถึงโอเอซิสใหญ่ ใกล้เมืองอานา–อิชาแม้จะได้ปันอาหารและน้ำดื่มจากติเยาะ แต่ไม่เพียงพอทำให้อาการของมิเชลล์ดีขึ้นจนชารีฟอดเป็นกังวลไม่ได้  โชคร้ายของทั้งคู่ยังไม่หมด อาลีไม่ต้องการให้สองผัวเมียเดินทางต่อไปกับกองคาราวานของพวกตน จะทิ้งทั้งคู่ไว้ที่โอเอซิสแห่งนี้ ติเยาะพยายามขอร้อง แต่อาลียืนกรานคำเดิม เธอจึงนำเรื่องนี้ไปแจ้งให้ชารีฟทราบ

“ข้าเสียใจนัก ข้าไม่มีปัญญาช่วยอะไรครูได้เลย ยกโทษให้ติเยาะด้วยนะครู”

ชา รีฟถอนใจหนักใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเช็ดตัวให้มิเชลล์ซึ่งนอนซมด้วยพิษไข้ เหรียญตราที่ห้อยคอเขาหลุดออกจากเสื้อ ติเยาะมองเห็นชัดเจน พรวดพราดกลับไปหาพี่ชาย เล่าเรื่องที่เห็นเหรียญตราและมีดสั้นที่มีลวดลายเหมือนของที่ใช้ในวังหลวง ให้ฟัง สองพี่น้องรีบตรงไปยังกระโจมหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของโอเอซิส ครู่ต่อมา ทหารนำตัวทั้งคู่เข้าพบหัวหน้าของที่นั่นซึ่งนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ในกระโจม รายล้อมด้วยเหล่าทหาร

อาลีกับติเยาะรู้สึกถึงอำนาจในตัวชายผู้นี้ ทรุดตัวคุกเข่าตรงหน้า อาลีรายงานว่าพวกตนได้อุปการะชายคนหนึ่งกับเมียของเขาซึ่งถูกปล้นหมดตัว เมียเป็นคนนอกศาสนา ไม่ได้คลุมหน้าเพราะเธอแต่งตัวเป็นผู้ชาย
ที่มา:ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น