วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 4

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 4

ชารีฟนั่งประคองมิเชลล์ที่ยังไม่รู้สึกตัวหลบอยู่หลังเนิน ทรายเพื่อบังแสงแดดที่แผดเผา นึกขึ้นได้ว่าร่างที่อยู่ในอ้อมแขนไม่ใช่เด็กชายสกปรกที่เขาอุปโลกน์ขึ้นมา ค่อยๆเขี่ยไรผมที่หลุดออกจากผ้าโพกหัวให้ ฉุกคิดถึงเธอตอนที่อยู่ในชุดผ้าบางเบา หน้าตางดงามของเธอขณะนั้นต้องใจเขายิ่งนัก

ชายหนุ่มเผลอก้มลงจะจูบ แต่แล้วชะงักได้สติเสียก่อน เอื้อมไปหยิบถุงหนังบรรจุนํ้ามาจ่อที่ริมฝีปากแห้งแตกระแหงของมิเชลล์ ค่อยๆเทนํ้าให้จิบช้าๆ แล้วเอาถุงหนังนั้นหนุนหัวให้...

เมื่อมิ เชลล์แข็งแรงพอจะนั่งอูฐได้ ชารีฟออกเดินทางต่อ พักใหญ่ก็ถึงโอเอซิสอีกแห่งหนึ่ง ทีแรกมิเชลล์ไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปอีกหรือเปล่า รีๆ รอๆ ไม่กล้าชักอูฐไปทางนั้น แต่คราวนี้ชารีฟก็เห็นเช่นกัน จึงมั่นใจว่าไม่ใช่ภาพ ลวงตา ทั้งคู่กระตุ้นอูฐให้เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปที่นั่นทันที...

มิเชลล์ กระโจนใส่แอ่งนํ้าของโอเอซิสอย่างมีความสุข แถมวักนํ้าสาดชารีฟและชวนให้ลงมาเล่นนํ้าด้วยกัน เขาส่ายหน้าไม่เอาด้วย เธอวิ่งไปลากเขาลงนํ้า สองคนสาดนํ้าใส่กันอย่างสนุกสนาน ชารีฟสาดนํ้าเล่นได้พักเดียวก็ขอตัวขึ้นก่อน มิเชลล์แหวกว่ายนํ้าอย่างมีความสุข พลางตะโกนถามเขาว่าไม่อาบนํ้าหรือ เขาไม่ตอบก้มหน้าก้มตาตั้งกระโจมแล้วขนของเข้าไปเก็บ เธอเห็นเขาไม่สนใจ จึงสอดเสื้อออกมาซักตากแดด แล้วคว้าผ้ากัฟฟีเยมาคลุมตัวไว้นั่งหลบๆอยู่ในกอหญ้าริมนํ้า ชารีฟเดินเข้ามาหาโดยไม่รู้ว่าเธอมีผ้าผืนเดียวห่อตัวอยู่

หญิงสาว ร้องเอะอะห้ามไม่ให้เข้ามา แต่ช้าเกินไป เขาเห็นเข้าก็โวยวายลั่น ทีหลังอย่าสวมแค่ผ้าบางๆ แบบนั้น แดดกำลังร้อนเดี๋ยวจะไม่สบาย แล้วโยนเสื้อตัวเอง ไปคลุมตัวเธอไว้ และกำชับว่าอย่าให้ตัวเองเจ็บป่วย กลางทะเลทรายเป็นอันขาด จะทำให้ยุ่งยาก แม้จะอยู่กับเขาซึ่งเป็นหมอก็ตาม มิเชลล์แกล้งว่าถ้าไม่มีฝีมือรักษาก็ให้บอกมาตรงๆก็ได้ ชารีฟดึงแขนเธอเข้ามาใกล้ก้มลงกระซิบข้างหู

“ไม่มีฝีมือหรือ...อยากให้ฉันมีฝีมือหรือไม่”

มิเชลล์ผลักชารีฟออก กระชับเสื้อคลุมที่เขาโยนให้ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนี...

ระหว่างตั้งค่ายพักอยู่ที่โอเอซิส ชารีฟสอนให้

มิ เชลล์ได้เรียนรู้หลายอย่าง เช่น ยิงปืน เป็นต้น เผื่อภายภาคหน้าเธออาจจำเป็นต้องช่วยเขา ทีแรกเธอไม่ยอมเรียน อ้างว่าไม่เคยยิงใครมาก่อน ชารีฟถามอย่างยียวนว่าเคยโดนจูบมาก่อนหรือเปล่า หญิงสาวอายหน้าแดง อ้อมแอ้มว่าไม่เคย

“วันหนึ่งก็ต้องเคย ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกทั้งนั้น” ชารีฟพูดจบส่งสายตาลึกซึ้งมาให้

มิ เชลล์ไม่กล้าสบตาด้วย ได้แต่พยักหน้ารับคำ ชารีฟสอนท่ายิงให้แล้วเข้าโอบด้านหลังเธอช่วยจับปืน แต่กลับไม่ยอมให้ลั่นไก เพราะเกรงพวกทหารกบฏ จะได้ยินเสียงแล้วตามมาเล่นงานเอา จากนั้น ชารีฟสอนวิธีสวดมนต์ตามแบบศาสนาอิสลามให้เธอดู เพราะต้องปฏิบัติตัวให้เหมือนกับชนพื้นเมืองแถวนี้ จะได้ไม่มีใครสงสัย...

ถึง เวลาบ่ายซึ่งแดดร้อนจัด ชารีฟกับมิเชลล์นอนพักผ่อนเอาแรง ชายหนุ่มหลับสนิทไปพักใหญ่แล้ว แต่เธอยังนอนไม่หลับ พลิกตัวกลับมานอนตะแคงมองสำรวจชายหนุ่มตรงหน้า ทบทวนความรู้สึกที่มีต่อเขา บางทีก็หมั่นไส้ บางทีก็กลัวความเด็ดเดี่ยวของเขา แต่บางครั้งเขากลับทำให้เธอหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก

“ท่านราชองครักษ์พันเอกชารีฟ” มิเชลล์เผลอตัวพึมพำเบาๆ เขาลืมตาทันที เธอตกใจถึงกับลุกพรวด

“ทำไม ไม่นอน เราต้องนอนเอาแรง เพราะคืนนี้ต้องเดินทางกันอีก อยู่ทะเลทรายต้องพยายามฝึกตัวเองให้ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ตามหลักของคนทะเลทราย กลางวันแดดร้อนเราต้องนอน กลางคืนเย็นสบายเราก็เดินทาง อย่าโง่ฝืนวิถีชีวิตของชาวทะเลทราย...นอนซะ ตื่นขึ้นมาจะมีของอร่อยให้กิน” ชารีฟพูดจบดึงมิเชลล์ลงนอน

ooooooo

ของ อร่อยที่ชารีฟว่ามิเชลล์ไม่อร่อยด้วย อีกทั้งไม่ยอมแตะเพราะมันคือเนื้อกระต่ายย่าง เขาบังคับให้กินด้วยนํ้าเสียงดุกร้าว เธอจำต้องยัดใส่ปาก เคี้ยวได้ไม่กี่คำก็พะอืดพะอมวิ่งออกไปอาเจียน แล้ววักนํ้าในแอ่งนํ้าบ้วนปาก เหลือบเห็นมีดสั้นที่ชารีฟใช้ชำแหละเนื้อกระต่ายลืมทิ้งไว้ หยิบขึ้นมาเหน็บเอว เดินกลับไปที่กองไฟ

“คนยุโรปนี่โง่จริงๆ นะ กินอะไรไม่เป็นเสียเลย” ชารีฟแดกดัน

“พวก เราไม่โง่อย่างท่านว่าหรอก พวกท่านนะสิป่าเถื่อน ดุร้าย โหดเหี้ยม แย่งชิงสมบัติกัน แม้กระทั่งพี่น้องยังฆ่ากันเอง” มิเชลล์ต่อว่าอย่างมีอารมณ์ ชารีฟโกรธจัดดึงเธอมากอดแล้วระดมจูบอย่างไม่ปรานีปราศรัย โทษฐานปากไม่ดี ยิ่งเธอดิ้นหนีมากเท่าไหร่เขายิ่งจูบรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น พอสาแกใจก็ปล่อยเธอเป็นอิสระ

หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอับอายนํ้าตาคลอ เบ้า หันหลังจะเดินหนี เขาไม่วายเย้ยหยัน ถึงตนจะเป็นคนป่าเถื่อน ก็จูบคนศิวิไลซ์อย่างเธอได้ไม่แพ้พวกผู้ชายชาวยุโรป มิเชลล์หยุดกึก หันขวับพร้อมกับชักมีดสั้นขึ้นมาถือไว้

“ดิฉันไม่ตบหน้าท่านหรอกพัน เอกชารีฟ เพราะนั่นเท่ากับเร่งให้ท่านทำอะไรเลวๆมากขึ้นอีก ท่านมันคนป่าเถื่อน การทรมานผู้หญิงเป็นความสุขของท่านใช่ไหม อย่านึกว่าดิฉันจะให้อภัยท่าน ต่อไปนี้เราจะไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน มีดเล่มนี้จะเสียบหัวใจท่านทันที ถ้าท่านกำแหงทำอุกอาจ เพราะถือว่าดิฉันเป็นผู้หญิงที่อยู่กลางทะเลทรายลำพังกับผู้ชายอย่าง ท่าน...ท่านจะเรียกร้องบุญคุณด้วยวิธีแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด จำไว้”

ชา รีฟสั่งให้คืนมีดสั้นมาแล้วจะเข้าไปแย่ง มิเชลล์หลบไม่ยอมให้ พร้อมทั้งขู่ว่ามีดเล่มนี้จะอยู่กับเธอตลอดไป ถ้าโดนเขารังแกอีก เธอยอมตายดีกว่าจะตกเป็นของเขา แล้วคว้าปลอกมีดที่วางอยู่แถวนั้นมาจับมีดยัดใส่ก่อนจะเหน็บไว้ที่เอว ชารีฟหงุดหงิดไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้...

ในระหว่างที่ชารีฟกับมิ เชลล์รอนแรมอยู่กลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เจ้าหญิงฟารีดายังคงต่อต้านการก่อกบฏขององค์โอมานอย่างไม่เกรงกลัว โทษว่าเป็นเพราะท่านแม่ของเขาพูดใส่หูตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ให้เขาคอยแย่งชิงบัลลังก์จากพระเชษฐา เขาถึงได้ทะเยอ ทะยานแบบนี้ องค์โอมานไม่พอใจมากตบหน้าเจ้าหญิง ฟารีดาล้มลงไปกองกับพื้น สั่งห้ามพูดจาบจ้วงถึงท่านแม่ของตนอีกไม่เช่นนั้นได้เห็นดีกัน

“จะฆ่าหม่อมฉันหรือ ฆ่าเลย หม่อมฉันไม่กลัวตาย”
“ฆ่า เจ้าหรือฟารีดา เราไม่ฆ่าเจ้าหรอก เรามีวิธีที่จะให้เจ้าแค้นใจจนกระอักออกมาเอง” องค์โอมานว่าแล้ว ตบมือสามครั้ง สักครู่มีสาวสวยสามคนในชุดวาบหวิวออกมาร่ายรำด้วยท่าทางยั่วยวน เจ้าหญิงฟารีดาทนดูไม่ได้ขยับจะไป เขาขู่ฟ่อขืนขยับแม้แต่ก้าวเดียวจะสังหารนังสามคนนี่ทิ้ง เธอจำใจนั่งต่อไป...

หลังจากกลั่นแกล้งมเหสีเอกจนหนำใจแล้ว องค์โอมานปล่อยเธอกลับตำหนักตัวเอง เจ้าหญิงเห็นซาฟีน่ามาเดินเตร่อยู่แถวห้องบรรทม จึงเรียกมาสอบถามว่าทำความดีความชอบอะไรถึงถูกส่งมารับใช้ตน ทั้งๆ ที่ควรอยู่ที่วังหลวง เธอปฏิเสธทันทีว่าไม่ทราบไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แค่ทำตามคำสั่งของกษัตริย์โอมานที่หนึ่งเท่านั้น

“ถ้าไม่รู้ ก็รู้ไว้เดี๋ยวนี้ ว่าเจ้าถูกส่งมาให้คอยจับตาดูเรา แล้วเอาไปบอกพวกทหารของเจ้าพี่ เพื่อจะทูลขึ้น

ไป ถึงเจ้าพี่อีกที ทำไมซาฟีน่า เบี้ยหวัด เงินปีที่ได้รับไม่พอใช้หรือ ถึงต้องทำตัวเป็นนกสองหัว คนชั่วอย่างเจ้า เราไม่ชอบ เราไม่ขอเห็นหน้าให้เป็นเสนียดกับสายตา เจ้าเตรียมตัวไปจากที่นี่ได้ ที่นี่เป็นที่ที่คนดีๆ เขาอยู่กัน”

ซาฟีน่าจำต้องกลับวังหลวง เพื่อรายงานให้องค์โอมานทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น...

ขณะ ที่ซาฟีน่าหมดโอกาสที่จะสอดแนมความเป็นไปของเจ้าหญิงฟารีดา ชารีฟกับมิเชลล์เตรียมออกเดินทางต่อไป เขาอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นมิเชลล์หยิบแหวนวงที่เข้าชุดกับสร้อยอุบะที่ห้อย เครื่องราง ซึ่งเจ้าหญิงฟารีดามอบให้ขึ้นมา คล้องเชือกแล้วนำมาสวมคอไว้ ร้องถามว่าเอาแหวนเปียรุสมาสวมทำไม เธออ้างคำของเจ้าหญิงฟารีดาว่ามันเป็นเครื่องรางสำหรับปกป้องคนร้าย คนคิดไม่ดีอย่างเขา ชารีฟไม่อยากเถียงด้วยหันไปตรวจความเรียบร้อยของสัมภาระ มิเชลล์อยากให้พักอยู่ที่นี่อีกสักวันสองวัน แต่เขาสั่งให้ออกเดินทางต่อ

“ไม่ ฉันจะพัก ยังไม่หายเหนื่อย ท่านไปคนเดียวสิ ดิฉันจะไปทางโน้น ท่านอย่าตามมาก็แล้วกัน ดิฉันไม่ไว้ใจท่านแล้ว” มิเชลล์แข็งขืนได้ไม่กี่นํ้า สุดท้ายต้องทำตามคำสั่งของชารีฟ...

องค์ โอมานยังไม่ยอมรามือ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตัวชารีฟกลับมา โดยจับเมียและลูกของอับดุลมาทรมานให้อับดุลบอกความจริง แต่เขาปิดปากเงียบ ยอมตายทั้งครอบครัวดีกว่าจะเผยที่ซ่อนตัวของชารีฟ

ooooooo

ชา รีฟเดินทางทั้งคืนจนมิเชลล์เหนื่อยอ่อน แทบจะหลับบนหลังอูฐ แต่แล้วเธอกลับตาสว่างเมื่อเห็นพายุหมุนก่อตัวขึ้นที่ปลายฟ้า ซึ่งพระอาทิตย์เริ่มทอแสงรำไร ครู่เดียวพายุพัดตรงเข้ามา ชารีฟสั่งให้ลงจากอูฐแล้วใช้มันเป็นที่กำบังพายุ เธอรีบทำตามสั่งด้วยความหวาดกลัว เขาโอบกอดเธอไว้เพื่อปกป้องทรายจากพายุ

“เอาผ้าปิดปาก ปิดจมูกเดี๋ยวทรายเข้า”

สิ้นเสียง พายุพัดทรายฟุ้งกระจายเข้ามา ชารีฟกอดมิเชลล์ไว้แนบกับตัว ความใกล้ชิดทำให้หญิงสาวอดหวั่นไหวไม่ได้ พักใหญ่กว่าพายุจะสงบ เขาจึงคลายอ้อมกอดออก มิเชลล์ยังคงครางอู้อี้พร้อมกับไขว่คว้าดึงเขามากอดไว้แน่น สักครู่ถึงได้รู้สึกตัว ลืมตามองเห็นเขาจ้องอยู่ อับอายมากลุกพรวดเสมองไปรอบๆ แก้เขิน ก่อนจะพบว่าภูมิประเทศที่เห็นก่อนเกิดพายุเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เนินทรายที่เคยอยู่ตรงหน้าหายไปหมด

ชารีฟจัดแจงทำที่บังแดดบนหลังอูฐ แล้วสั่งให้มิเชลล์ขึ้นประจำที่ และเตือนว่าต่อไปนี้จะไม่มีแหล่งน้ำที่ไหนอีกจนกว่าจะถึงที่พักใหญ่ของพวกเบ ดูอิน กลางทะเลทรายลึก จะใช้น้ำต้องระมัดระวัง...

คำเตือนของชารี ฟเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แสงแดดที่แผดเผาทำให้มิเชลล์ซดน้ำยิ่งกว่าอูฐ เขาต้องคว้าถุงใส่น้ำของเธอไปเก็บไว้เอง เธอค้อนขวับด้วยความไม่พอใจ...

ด้าน องค์โอมานไม่รอช้า สิ่งแรกที่ทำทันทีที่ขึ้นครองอำนาจคือสั่งให้พระคลังหลวงขูดภาษีจากราษฎร เพิ่มขึ้น จึงเป็นการเปิดช่องให้ข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง เรียกสินบนจากพ่อค้าที่ไม่ต้องการเสียภาษี

เงินที่ได้จากการค้า น้ำมันและรีดภาษี องค์โอมานนำไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากพ่อค้าอาวุธที่มีชื่อมิสเตอร์โจชัวร์ ซึ่งคุยอวดว่าอาวุธของตนนำสมัยและมีประสิทธิภาพไม่มีประเทศใดในภูมิภาคนี้จะ ทัดเทียมได้ พระองค์พอใจมาก แต่ไม่วายถามซาอิ๊บว่าตนคงตัดสินใจไม่ผิด เขายืนยันไม่ผิดแน่นอน ฝรั่งคนนี้ไว้ใจได้

“แสนยานุภาพของเราจะต้องยิ่งใหญ่ที่สุดและในไม่ช้านี้ผืนทรายทั้งหมดในคาบสมุทรนี้จะต้อง

เป็นของข้าแต่ผู้เดียว เออ...ว่าแต่ว่าอย่าลืมไอ้ชารีฟกับ

นาง สนมฝรั่งเศส อย่าลืมว่าเรายังต้องการตัวมันอยู่ ไม่ได้กลัวว่ามันจะมาทำอะไรหรอก แต่แค้นมัน...เจ้าได้ตัวมันไอ้ชารีฟ มีดเล่มนี้จะแล่เนื้อมันออกเป็นชิ้นๆเลย” องค์โอมานว่าแล้วหยิบมีดสั้นมาตวัดไปมา ด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม...

ทาง ฝ่ายมิเชลล์โวยวายลั่นที่ชารีฟให้พักแค่ครู่เดียวแล้วให้เดินทางต่อไปทั้งๆ ที่แดดเปรี้ยงและควรจะเป็นเวลาได้นอนพัก อีกทั้งยังให้จิบน้ำแทนที่จะได้ดื่มให้สมกับความกระหาย ชารีฟไม่พอใจต่อว่ากลับที่เธอเห็นเขาเป็นศัตรูใจทรามถึงได้ไม่ไว้ใจกัน ขนาดจะกินจะนอนต้องพกมีดติดตัวไว้ตลอด ทั้งๆที่เขาช่วยชีวิตเธอไว้ตั้งสองครั้งสองครา ทีกับองค์อาหเม็ดกลับยอมตกปากรับคำเป็นสนม โดยอ้างว่าพระองค์มีบุญคุณ

“ฉัน ไม่ได้คิดจะทำบัดสีอะไรกับเธอ แต่ฉันไม่เข้าใจผู้หญิงยุโรปอย่างเธอจริงๆ ถ้าเธอบอกรักองค์อาหเม็ดสักคำฉันจะไม่สงสัยเลย นี่...มันก็เรื่องหลอกลวงนั่นแหละ”

มิเชลล์ขอร้องให้หยุดดูถูกกันได้ แล้ว ถ้าไม่หยุดจะโดดลงจากหลังอูฐ ชารีฟท้าทายให้กระโดด อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงยุโรปจะใจเด็ดแค่ไหน เธอโกรธมากโดดลงมากระแทกพื้นหมดสติเนื่องจากอ่อนแรงเป็นทุนเดิม ชารีฟตกใจผวาลงไปประคองเธอไว้แนบอก ปากก็พร่ำบอกว่าทีหลังจะไม่ทำอย่างนี้กับเธออีก...

ชารีฟต้องตั้ง กระโจมเพื่อค้างแรมไปโดยปริยายเพราะมิเชลล์หมดสติไม่รู้สึกตัว โชคดีที่ไม่มีส่วนใดหัก แค่ฟกช้ำ กว่าเธอจะฟื้นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เขารีบเข้าไปง้อเอาอกเอาใจ เธอปล่อยโฮอย่างหมดความอดกลั้น ชารีฟทำอะไรไม่ถูก ดึงเธอมากอดไว้อย่างปลอบโยน

ooooooo

มิ เชลล์ตื่นขึ้นตอนเช้าของวันใหม่ด้วยอาการมึนหัวเล็กน้อย แต่แล้วต้องตกใจเมื่อพบว่าตัวเองนอนหลับอยู่ข้างๆชารีฟ รีบสำรวจเนื้อตัวแล้วถอนใจโล่งอกที่ทุกอย่างอยู่ในสภาพปกติ มองชายหนุ่มที่นอนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น แล้วค่อยๆลุกออกไปเตรียมมื้อเช้าให้

กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นปลุกชารีฟให้ ตื่นจากหลับใหล แต่อดปากเสียไม่ได้ว่านี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่รอนแรมด้วยกันมาเพิ่งได้ดื่ม กาแฟจากฝีมือของคนศิวิไลซ์อย่างเธอ

“พรุ่งนี้เย็นเราจะเข้าสู่เขต ภูเขาที่ตั้งจาอุฟเมืองกลางทะเลทรายอีกแห่งหนึ่ง ที่นั่นจะสบายไม่ต้องเร่ร่อนเราจะพักที่นี่จนกว่าอาทิตย์จะตกดิน เมื่อถึงจาอุฟเธอต้องระวังตัวให้มากขึ้น ที่นั่นเป็นชุมชนใหญ่ของพวกเบดูอิน มีทั้งคนดีคนชั่วและโจรปะปนกัน แล้วก็มีเรื่องแก่งแย่งชิงอำนาจของพวกที่พยายามเป็นใหญ่แทนชีค...

ชีคคือตำแหน่งหัวหน้าของเบดูอินกลุ่มใหญ่ซึ่งมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ส่วนใหญ่ตามเมืองโบราณในทะเลทราย”

ชา รีฟอธิบายเสร็จหยิบสร้อยห้อยตราประจำราชวงศ์กษัตริย์ที่สวมติดตัวออกมา “พวกเบดูอินร้ายกาจ อย่างไรก็ไม่กล้าทำร้ายทหารของพระราชา เธอไม่ต้องกลัวนะ”...

ในที่สุดชารีฟและมิเชลล์มาถึงเมืองจาอุฟ ที่ซึ่งตัวตึกทั้งหลายสร้างขึ้นจากดินเหนียวและหิน มีกระโจมของพวกเบดูอินตั้งกระจัดกระจายอยู่เป็นกลุ่มๆรอบเมือง ทั้งคู่เดินตรงไปยังตึกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเบื้องหน้าซึ่งเป็นที่อยู่ของชี คอัสมันซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับชารีฟ แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวตึก กาเซ็มซึ่งเมามายเดินมาชนมิเชลล์

เต็มแรงจนเซจะล้ม เขาคว้าตัวเธอไว้ทัน ก่อนจะร้องเอะอะว่านี่คือผู้หญิง แล้วกอดไม่ยอมปล่อย

ชา รีฟปรี่เข้ามากระชากไอ้ขี้เมาเหวี่ยงไปกองกับพื้น นะหมัดรีบเข้ามาขอโทษแทนน้องชาย ชารีฟได้ทีตวาดกลบเกลื่อนว่าเมาจนขาดสติขนาดเห็นผู้ชายเป็นผู้หญิง แล้วติงว่าสุราเป็นของต้องห้ามทำไมยังดื่มกันอีก นะหมัดรับปากว่าจะพยายามหักห้ามใจไม่ให้ดื่ม...

ครู่ต่อมา ชารีฟเดินนำมิเชลล์ในคราบตาฟามาถึงหน้าตึกใหญ่ เขาฝากรหัสคำว่า “อวีเซ็นน่า” ให้ยามเฝ้าระวังหน้าตึกไปแจ้งต่อชีคอัสมัน ยามหายเข้าไปข้างในพักหนึ่งก็กลับออกมาเชิญทั้งคู่เข้าพบชีคอัสมันได้ แล้วเดินนำไปยังห้องโถงใหญ่ซึ่งมีเหล่านักรบเบดูอินยืนถือปืนเรียงรายกัน เป็นระยะๆ ส่วนที่มุมห้องซึ่งเป็นพื้นยกสูงมีเด็กหนุ่มสองคนนั่งเฝ้าชีคอัสมันที่นอน ร้องโอดโอยอยู่ แต่พอเห็นชารีฟเท่านั้น ร้องทักด้วยความดีใจ“ใครจะคิดบ้างว่าเราสองคนจะมาพบกันอีก ฮิลฟารากับจาอุฟนั้นอยู่ไกลกันคนละขอบโลกทีเดียว”

ชา รีฟถามชีคอัสมันด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอะไร ได้ความว่าเขาป่วยหนักเป็นไข้ตัวร้อนเหมือนถูกไฟสุมกินไม่ได้นอนไม่หลับ ชารีฟเข้าไปตรวจดูอาการให้ ก่อนจะบอกว่าแค่เป็นฝีเท่านั้น แล้วหันไปลากแขนมิเชลล์เข้ามาแนะนำว่านี่คือตาฟาคนสนิทของเขา ชีคอัสมันมองอย่างสำรวจ

“หล่อเหลามากเหลือเกิน ทั้งที่ยังสกปรกอย่างกับซากศพ มันยังไม่มีเมียรึท่าน”

ชา รีฟพูดติดตลกว่าตนเองยังไม่มีแล้วตาฟาจะมีได้อย่างไร คนในห้องโถงพากันหัวเราะชอบใจ ชีคอัสมันสั่งให้คนจัดที่พักให้ชารีฟอยู่ด้านโน้นแล้ว ส่วนเด็กของเขาจะให้นอนรวมกับหนุ่มน้อยพวกนั้นไปก่อน มิเชลล์ถึงกับหน้าเสีย พยายามจะขอไปนอนกับชารีฟ แต่เขาแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ทิ้งเธอไว้กับพวกเด็กหนุ่ม แล้วออกไปกับชีคอัสมันที่เดินตัวงอกุมฝีไปตลอดทาง มิเชลล์ทำท่าจะร้องไห้ให้ได้ แต่อึดใจต่อมา ชารีฟกลับมารับเธอไปนอนด้วยอ้างว่าชีคอัสมันอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เขาเอา เด็กรับใช้ไปนอนด้วยได้ มิเชลล์ถึงกับถอนใจโล่งอก...

ฝ่ายชีคอัสมัน เจ็บฝีมากขอร้องให้ชารีฟช่วยจัดการโดยด่วน เขาขออาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดเสียก่อน จึงจะจัดการก้อนเนื้อนั้นให้ ชีคอัสมันสั่งการให้ยูซุฟไปเตรียมเสื้อผ้าสะอาดๆมาให้สองหนุ่ม โดยไม่รู้ว่าหมอแผนโบราณของเผ่าจ้องตามชารีฟอย่างไม่สบอารมณ์นัก

ooooooo

หลัง จากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ชารีฟขอมีดสั้นจากมิเชลล์ ซึ่งทีแรกจะไม่ยอมให้ เขาแค่จะเอามาตัดผมเธอเท่านั้น เพราะเริ่มยาวอีกแล้วอาจทำให้เป็นที่สงสัยของผู้คนได้ เธอส่งมีดสั้นให้อย่างเสียไม่ได้ ชารีฟลงมือตัดผมให้ ความใกล้ชิดทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก เมื่อตัดผมเสร็จ ชารีฟสั่งให้มิเชลล์โพกหัวไว้

“อย่าลืมว่าชีคอัสมันช่างสังเกต ทำตัวให้สมเป็นชายเข้าไว้ อ้อ...ประเดี๋ยวเธอต้องเป็นผู้ช่วยฉัน เธอเป็นพยาบาล ส่วนฉันทำหน้าที่แพทย์”...

ทางด้านหมอผีประจำตัวชี คอัสมันพยายามจะให้เขารักษาอาการป่วยแบบดั้งเดิม คือใช้วิธีสวดมนต์วิงวอน แต่ชีคอัสมันทนรักษาแบบนั้นต่อไปไม่ไหว ขอรักษาด้วยแพทย์แผนใหม่เผื่ออาการจะดีขึ้น สร้างความไม่พอใจให้หมอผีเป็นอย่างมาก...

ระหว่างเดินกลับมาที่ตัว ตึกใหญ่ ชารีฟมองสำรวจมิเชลล์หัวจดเท้าอีกครั้งหนึ่ง ไม่สบายใจนัก ที่เธอดูสะอาดสะอ้านเกินไป ความจริงแล้วเขาอยากให้เธอมอมแมมมากกว่า มิเชลล์โวยใส่ทันทีว่า สะอาดตรงไหนในเมื่ออาบน้ำไม่มีสบู่ถูตัว

“หน้า เธอสวยเกินกว่าจะเป็นผู้ชาย ปากของเธอก็หวานราวกับน้ำผึ้ง ใครจะอดใจได้ รู้ไหมว่าฉันต้องระงับใจขนาดไหนที่ต้องอยู่ใกล้ผู้หญิงสาวสวยตลอดวันตลอดคืน อย่างนี้” ชารีฟยิ้มกรุ้มกริ่ม มิเชลล์ตะลึงรู้ดีว่าคำพูดนั้นออกมาจากใจของเขา ถอยหนีไปสองก้าว ชารีฟเดินเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้

“ฟังนะ แม่นักบุญ ฉันคงจะเป็นคนป่าเถื่อนในแถบนี้ แต่ก็ไม่เคยพูดกับผู้หญิงคนไหนด้วยคำพูดแบบนี้มาก่อน ฉันจะพูดกับผู้หญิงที่ฉันพอใจเท่านั้น” ชารีฟจ้องมิเชลล์เป็นการยืนยันคำพูดตัวเอง อีกฝ่ายก้มหน้าไม่กล้าสบตาด้วย ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าเผลอพูดความในใจออกไป รีบจ้ำพรวดๆไปยังตึกใหญ่...

ในเวลาต่อมา ชารีฟตรวจดูก้อนเนื้อของอัสมันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันไปสั่งการให้ยูซุฟเตรียมอุปกรณ์สำหรับผ่าฝีมาให้ โดยมีมิเชลล์คอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ ชารีฟนำมีดคมกริบมาเผาไฟฆ่าเชื้อ แล้วเอามากรีดก้อนเนื้อ บีบเบาๆให้หนองที่อยู่ข้างในไหลลงถาด มิเชลล์จะคอยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดรอบก้อนเนื้อซึ่งตอนนี้ยุบลงมากแล้ว หมอผีซึ่งยืนหลบมุมมองเหตุการณ์โดยตลอดชักสีหน้าไม่พอใจ

“เป็นฝีเท่านั้นเอง รับรองว่าไข้จะลด ไฟที่สุมในตัวท่านจะหายไปหมดสิ้น พรุ่งนี้จะไม่มีอาการปวดเลย”

ชี คอัสมันดีใจมากเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่รอดจากอาการป่วยครั้งนี้ ขอบใจเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างชารีฟเป็นการใหญ่ หมอหนุ่มหันไปบอกมิเชลล์ให้ใช้ผ้าสะอาดๆปิดแผลไว้ ห้ามให้แผลโดนน้ำเด็ดขาด ชีคอัสมันชมเขาไม่หยุดปาก ยืนยันจะดูแลตัวเองให้หายเร็วๆและจะจัดงานฉลองจากการหายป่วย มิเชลล์เหลือบมองไปทางที่หมอผีเฒ่าอยู่เห็นสายตาอาฆาตแค้นคู่นั้นแล้วอด หวั่นใจไม่ได้...

เมื่อได้อยู่กันตามลำพังในห้องพัก มิเชลล์เตือนชารีฟระวังตัวให้ดี หมอผีคนนั้นมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขาเองก็เห็น เตือนให้เธอระวังตัวเช่นกัน เธออดเป็นกังวลไม่ได้ว่าจะเก็บความลับที่เป็นผู้หญิงไว้ไม่อยู่ชวนเขาไปจาก ที่นี่ ชารีฟยังไปไหนไม่ได้ ที่นี่เป็นที่พักที่วิเศษสุด เราสามารถปะปนอยู่กับพวกเบดูอินอื่นๆได้

จังหวะนั้น คนของชีคอัสมันเอาอาหารและนมแพะมาให้ พอมิเชลล์รู้ว่านมที่อยู่ตรงหน้าเป็นนมแพะ และเนื้อย่างชวนกินเป็นเนื้อแพะ ทำท่าจะไม่ยอมกิน ชารีฟต้องบังคับ หลังกินอาหารเสร็จ เขาชวนมิเชลล์มาดูดาวพร้อมกับสอนให้รู้จักว่าดวงไหนเป็นดาวอะไรกันบ้าง เธออดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่ไปเรียนในประเทศที่เจริญแล้วอย่างเขาทำไมถึงกลับมา อยู่ทะเลทรายอีก

“ฉันรักผืนทราย รักความอิสระ ฉันมีความสุขมากเมื่อได้ยืนอยู่บนพื้นทราย ข้างบนมีดวงดาวเต็มฟ้า ฉันจะมีความสุขที่สุดถ้ามีใครสักคนที่รักผืนทรายเหมือนฉันมายืนดูดาวด้วย กัน” ชารีฟมองมิเชลล์ด้วยสายตาลึกซึ้ง เธอรับรู้ถึงความนัยของเขา รู้สึกเขินขึ้นมา แสร้งว่าง่วงแล้วก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอน เขามองตามชอบใจ...

ดึกคืนนั้น ชารีฟฝันว่าได้แต่งงานกับมิเชลล์ แต่แม่และพ่อของเขาไม่พอใจสะใภ้ต่างชาติ โวยวายไม่ยอมรับ และยังตะเพิดอีกด้วย ชารีฟตะโกนลั่นว่าเขารักมิเชลล์ แล้วสะดุ้งตกใจตื่น ลืมตามองไปรอบๆเห็นเจ้าสาวในฝันตัวเป็นๆนั่งอมยิ้มจ้องอยู่ บอกว่าเขานอนละเมอเรียกหาพ่อกับแม่ เขาซักว่าไม่ได้พูดอะไรนอกจากนี้ใช่ไหม เธอย้อนถามเขาคิดว่าตัวเองพูดอะไร ชารีฟจะไม่บอกเธอตอนนี้ แต่รับรองว่าบอกแน่นอนเมื่อถึงเวลา

ooooooo

เช้าวันต่อมา ชารีฟไปเยี่ยมชีคอัสมันที่นอนพักฟื้นอยู่ หัวหน้าเผ่าไล่เหล่าคนสนิทออกไปจากห้องเหลือเพียงยูซุฟเท่านั้น แล้วสั่งการให้เขาไปจัดหาม้า 20 ตัว และอูฐอีก 5 ตัวมอบให้ชารีฟ

“คน ของข้าบอกว่าท่านจะมาดำเนินอาชีพเป็นพ่อค้าม้าที่นี่ ข้าเหมือนได้ยินเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อท่านช่วยเล่าให้ข้าหายข้องใจบ้าง ได้ไหม”

ชารีฟอ้างว่าจะมาค้าม้าจริงๆ ชีคอัสมันไม่เชื่อว่าคนอย่างเขาจะมาใช้ชีวิตเร่ร่อนแบบนี้ น่าจะมีสาเหตุอื่นแล้วกระซิบเบาๆ ว่ามีเสียงร่ำลือกันว่าพระศพขององค์อาหเม็ดหายไปจากห้องบรรทม ชารีฟตกใจ

“เป็นไปไม่ได้ วิทยุประกาศว่าสิ้นพระชนม์ โอมานต้องเก็บพระศพอย่างดี”

ชี คอัสมันยุให้ชารีฟกลับไปฮิลราฟาเพื่อยึดอำนาจคืน หากมีใครเหมาะสมจะครองบัลลังก์แทนองค์อาหเม็ดต้องเป็นเขาไม่ใช่องค์โอมาน ชีคอัสมันกับพวกพ้องอีกหลายเผ่าพร้อมจะร่วมมือขอแค่เขาเอ่ยปากเท่านั้น ชารีฟไม่คิดว่าตัวเองเหมาะสม ชีคอัสมันไม่ละความพยายามยุอีกว่าแม้เขาจะไม่อยากได้บัลลังก์อย่างน้อยก็น่า จะเห็นแก่ประชาชนตาดำๆ ที่ต้องถูกปกครองโดยคนชั่วช้าเยี่ยงองค์โอมาน ชารีฟนิ่งคิดสีหน้าหนักใจ...

ครู่ต่อมา ชารีฟกลับมายังที่พัก มิเชลล์เห็นสีหน้าเขาแล้วถามว่าไม่สบายใจเรื่องอะไรให้ระบายออกมาเผื่อเธอจะ ช่วยได้ เขาถามเสียงเครียดว่าจะช่วยได้อย่างไร เธอตอบหน้าตายว่าจะช่วยรับฟัง เขาถึงกับยิ้มออก...

ทางฝ่ายองค์โอมาน ชั่วช้าอย่างที่ชีคอัสมันว่าไม่มีผิดเพี้ยน พ่อค้าคนใดที่ดื้อดึงไม่ยอมเสียภาษี เขาจับมายิงทิ้งเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ส่วนเงินที่ได้จากการขูดรีดภาษีและค้าน้ำมัน องค์โอมานนำไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยเตรียมไว้สำหรับยึดครองประเทศ เพื่อนบ้านที่มีบ่อน้ำมันมาเป็นของตัว

แม้จะวุ่นวายกับการวางแผน รุกรานประเทศอื่น แต่องค์โอมานยังอยากได้ตัวชารีฟกลับมารับโทษ เพราะคิดว่าเขาอยู่เบื้องหลังการหายไปของพระศพองค์อาหเม็ด สั่งการให้ซาอิ๊บไปเค้นความจริงจากพวกนายพลฝ่ายต่อต้านมาให้ได้ เขาไม่รอช้านำตัวนายพลอัสตาฟามาซ้อมเพื่อให้บอกความจริงว่าใครเอาพระศพไป

นาย พลอัสตาฟาอายุมากแล้วทนการทารุณไม่ไหวจำต้องเปิดปากว่านายพลมุสกัตเป็นผู้ อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ และยังมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่อีกหลายนายที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อ“คนสำคัญที่เราจะต้องตามจับมันให้ได้ เห็นจะเป็นเจ้ามุสกัตมากกว่าชารีฟเสียแล้วชาอิ๊บ มันจะเอาพระศพองค์อาหเม็ดไปทำไมกัน” องค์โอมานสีหน้าครุ่นคิด

ซาอิ๊บเตือนว่าแม้การหายไปของพระศพจะไม่ใช่ฝีมือชารีฟ แต่ก็ปล่อยไว้ไม่ได้ เขาจะกลายเป็นเสี้ยนหนามในภายหลัง...

องค์ โอมานเห็นด้วยกับความคิดของซาอิ๊บ ตรงไปยังตำหนักของเจ้าหญิงสุไบดาอีกครั้งหนึ่งเพื่อคาดคั้นให้บอกที่ซ่อนตัว ของชารีฟ แต่ไม่ว่าจะข่มขู่อย่างไร เจ้าหญิงสุไบดาและไบคานก็ไม่ยอมปริปาก

ooooooo

ชารีฟต้องกุมขมับอีกครั้งเมื่อชีคอัสมัน

มี แผนการจะนำม้าและอูฐอย่างดีไปขายที่ตลาดค้าสัตว์ในเมืองซากากาจึงขอให้เขา เป็นผู้นำการเดินทาง ชารีฟทิ้งมิเชลล์ไว้ตามลำพังที่จาอุฟไม่ได้จำต้องพาไปด้วย แต่เธอขี่ม้าไม่เป็น เขาจึงต้องแอบฝึกให้

โชคดีที่เธอหัวไว สอนไม่เท่าไหร่ก็ขี่ได้คล่องแคล่ว...

คืนหนึ่งระหว่างที่ชีคอัสมันเรียกชารีฟไปพบเพื่อจะขอให้ช่วยรักษาอาการป่วยพ่อของยูซุฟ โดยทิ้งให้

มิ เชลล์อยู่ลำพังในกระโจมที่พัก โจรขี้เมาสองพี่น้องกาเซ็มและนะหมัดแอบเข้าไปในคอกสัตว์จะขโมยม้า เธอคว้าปืนจากลังใส่อาวุธที่ซ่อนไว้ย่องเข้าไปจะจัดการแต่สองคนนั่นอาศัย ความเจ้าเล่ห์หนีรอดไปได้

หญิงสาวยังขาสั่นไม่หายที่ต้องเล่นบทบู๊ ลากปืนยาวกลับไปยังกระโจมที่พัก ชารีฟซึ่งกลับมาเพื่อเอาอุปกรณ์ไปรักษาพ่อของยูซุฟเขาเห็นพอดีปราดเข้ามากระ ชากปืน ไปถามเสียงเขียวว่ามายุ่งกับของพวกนี้ทำไม เธอจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขากำชับว่าทีหน้าทีหลังห้ามทำแบบนี้อีก

“เธอต้องอยู่ใกล้ๆฉันตลอด เวลาเข้าใจไหม ถ้าฉันไม่อยู่ก็ต้องอยู่ในห้องห้ามออกมา จำไว้อย่าชะล่าใจว่าไม่มีใครรู้ความจริง หรือว่าเธออยากถูกจับไปอยู่ฮาเร็มของชีคอัสมัน”...

ในเวลาเดียวกัน ชีคอัสมันปรึกษากับภรรยาว่าจะทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้ชารีฟไปจากที่นี่ เพราะเขาสร้างประโยชน์ให้พวกเรามากมาย แล้วชีคอัสมันก็คิดแผนการออก โดยจะยกลูกสาวคนโตกับคนรองของตนให้เป็นภรรยาชารีฟ ส่วนลูกสาวคนเล็กจะยกให้ตาฟา ภรรยาเห็นดีด้วย เราจะได้ลูกเขยพร้อมกันทีเดียวสองคน...

หลังจากนำอาวุธไปเก็บเรียบ ร้อย ชารีฟสั่งให้มิเชลล์เตรียมตัว มีคนเจ็บรายใหม่ให้รักษา เธอทักท้วงว่าจะเอาอะไรไปรักษา ยากับเครื่องมือแพทย์ก็ไม่มี มีแค่ท่อนเหล็กกลวงที่ดัดแปลงไว้ใช้แทนหูฟังของหมอ ชารีฟกลับไม่มีความกังวลให้เห็น แถมกระเซ้าเย้าแหย่มิเชลล์สนุกสนานจนเธอชักเคืองเตือนไม่ให้เขาพูดแบบนี้อีก

“ฉัน ยั่วเล่นน่า โกรธมากหรือ” ชารีฟพูดจบก้มหน้าเข้าไปใกล้มิเชลล์ที่หน้าแดงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เตือนเขากลบเกลื่อนความเขินอายว่าอย่ามัวแต่พูดเล่น ป่านนี้คนไข้รอแย่แล้ว...

ชารีฟตรวจอาการพ่อของยูซุฟแล้วลงความเห็น ว่าป่วยด้วยโรคตับอักเสบ สั่งห้ามกินของมันของทอดทุกชนิด ให้กินน้ำตาลมากๆจะช่วยปรับระบบในร่างกายให้เป็นปกติ ยูซุฟเห็นพ่อขยับตัวได้ดีใจมาก ชมชารีฟไม่หยุดปากว่าเป็นหมอวิเศษรักษาคนด้วยมือเปล่าได้ หมอผีซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่มองชารีฟด้วยแววตาเคียดแค้น

ooooooo

ไม่ กี่วันต่อมา งานเลี้ยงฉลองที่เรียกว่า “ตับซี” ก็ถูกจัดขึ้น พ่อครัวยกถาดใส่ตัวกีบัสซึ่งคล้ายแพะนำมาย่างไฟทั้งตัวมาเสิร์ฟ ชีคอัสมันเห็นมิเชลล์ในคราบตาฟาตัวเล็กเหมือนผู้หญิง จึงตัดเนื้อกีบัสติดมันชิ้นใหญ่ให้กินจะได้ตัวโตและแข็งแรง เธอต้องกล้ำกลืนกิน แต่พองานเลิก มิเชลล์รีบแอบไปอาเจียนออกจนหมด

ชา รีฟเป็นห่วงตามมาดู  เห็นเธอเดินหมดเรี่ยวแรง รีบเข้าไปช่วยพยุงพากลับมานอนพักที่กระโจม มิเชลล์บ่นอุบเมื่อไหร่จะหมดจากฝันร้ายเหล่านี้เสียที เขาทำ ไม่รู้ไม่ชี้ทิ้งตัวลงนอนใกล้ๆ หญิงสาวเขยิบหนี ก่อนจะ บอกว่าเหตุการณ์สงบเมื่อไหร่ จะกลับไปบวชชีที่ฝรั่งเศส ชารีฟว่าเป็นไปไม่ได้ โหรหลวงทำนายดวงชะตาของ เธอไว้ว่า

“ผู้หญิงที่ เดินทางเข้ามาในวังหลวงตามฤกษ์ยามที่กำหนดไว้จะให้ลูกชายถึงหกคนกับสามีของ นาง และตามตำรายังบอกอีกว่า เธอผู้นั้นเป็นหญิงงามที่สวยแปลกไม่เหมือนใคร ใครได้เป็นสามีของเธอจะรักลุ่มหลงเธอมากและมีเธอเป็นเมียเพียงคนเดียว ไม่มีหญิงอื่นอีกเลย” ชารีฟว่าพลางขยับเข้าไปจนตัวชิดกัน มิเชลล์ซึ่งรู้สึกหวั่นไหว ใจเต้นรัว เขาค่อยๆโน้มตัวเข้าไปจะจูบ

ทันใดนั้นมีเงาวูบผ่านที่ผ้าม่าน ชารีฟหันขวับไปมอง เห็นหลังใครบางคนวิ่งหนีไปไวๆ รีบวิ่งตาม

ooooooo
ที่มา:ไทยรัฐ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น