วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 11

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 11

องค์อาหเม็ดเจอเจ้าหญิงสุไบดาที่หน้าลิฟต์ของโรงพยาบาล จึงบอกข่าวดีให้ทราบว่าชารีฟจวนหายแล้ว พระองค์กำลังสั่งให้เตรียมพิธีเลื่อนยศและแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีกับถวายพระพร เป็นงานเดียวกัน เจ้าน้าคงเดาออกว่าชารีฟจะต้องทำงานหนักอีกมาก

“ชารีฟมีหน้าที่ถวายงานให้กับราชบัลลังก์อยู่แล้ว”

“เขา ทำยิ่งกว่าถวายงานให้ราชบัลลังก์ ชารีฟยอมตายเพื่อราชบัลลังก์ ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรที่เป็นความสุขของชารีฟหลานจะทำทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ขอบพระทัยมากที่มีน้องชายคนนี้ให้หลาน”
หลังจากชารีฟกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง องค์อาหเม็ดจัดพิธีปูนบำเหน็จให้ทหารที่ทำคุณให้กับบ้านเมืองขึ้นภายในท้องพระโรง มีเหล่าทหารน้อยใหญ่อยู่กันเต็มห้อง องค์อาหเม็ดนั่งเป็นประธานอยู่บนบัลลังก์คอยประดับยศและสายสะพายให้ผู้ได้เลื่อนตำแหน่ง โดยมีเสนาบดีวังยืนอ่านประกาศเลื่อนยศอยู่ด้านหน้า

อันดับแรก เจ้าชายอับดุลลาได้เลื่อนขึ้นเป็นองค์รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากองค์อาหเม็ด 

ถัดมาคือนายพลมุสกัตได้เลื่อนตำแหน่งเป็นจอมพล และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด

“ราชองครักษ์ พันเอกนายแพทย์ ชารีฟ อัลฟา–รัช ผู้ซึ่งเกือบจะต้องพลีชีพเพื่อนำราชบัลลังก์และความสงบสุขกลับคืนมายังชาวฮิลฟารา มีพระบรมราชโองการเลื่อนยศเป็นนายพลตรี พร้อมกับให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ” สิ้นเสียงประกาศ ชารีฟเข้าไปรับเครื่องหมายประดับยศและสายสะพายจากองค์อาหเม็ดระหว่างนั้น เขาไม่ลืมแตะแหวนเปียรุสบนนิ้วมือเหมือนจะให้เจ้าของแหวนรับรู้ถึงช่วงเวลาน่ายินดีนี้ด้วย

“ประกาศให้รู้ทั่วกันว่า พลตรีนายแพทย์ ชารีฟ อัลฟารัช คือวีรบุรุษคนแรกของฮิลฟารา ฮีโร่คนแรกของบัลลังก์เรา” องค์อาหเม็ดประกาศจบ ผายมือมาทางชารีฟ จากนั้นเสียงตบมือให้เกียรติก็ดังกึกก้อง...

งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นในค่ำวันเดียวกัน นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการระดับสูงรวมทั้งทูตและภริยาต่างมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง องค์อาหเม็ดมางานเลี้ยงพร้อมกับพระชายา ตามด้วยสนมอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนชารีฟเข้าไปคุยทักทายจอมพลมุสกัต พลางกวาดตามองไปรอบงานที่เต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ

“คนมากมายเหลือเกิน”

“ทุกคนมายินดีกับรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งนั้น” จอมพลมุสกัตกระเซ้า ชารีฟชะเง้อคอมองมิเชลล์ บ่นว่าอยากให้คนทั้งงานนี้หายไปให้หมด ด้วยความคิดถึงหญิงคนรักใจจะขาดตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้เจอกันเลย ทำให้เขาจินตนาการไปว่าได้อยู่เพียงลำพังกับมิเชลล์ในงานเลี้ยง ได้เต้นรำด้วยกันอย่างมีความสุข ขณะชารีฟจะก้มลงจุมพิตหญิงคนรักให้หายคิดถึง เสียงจอมพล มุสกัตเรียกทำให้เขาตื่นจากภวังค์

“ท่านชารีฟ...เจ้าหญิงพระชายา”

ชารีฟรู้สึกตัวอีกที พระชายามายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว กระซิบเบาๆว่าอ่านใจเขาออกว่ากำลังคิดถึงใครอยู่ ชารีฟขอพระราชทานอภัยที่ไม่ทันเห็นพระองค์

“ไม่อภัยหรอก ในฐานะผู้หญิงฉันโกรธนะ ยืนตรง หน้าฉันแต่ใจคิดถึงผู้หญิงคนอื่น...ว่างๆก็ไปเยี่ยมฉันบ้างสิ เราจะได้คุยกันถึงวันเวลาที่ทุกข์ยากอยู่ด้วยกัน กลางทะเลทราย” สายตาของพระชายาบ่งบอกความนัย

“พระเจ้าข้า ขอพระราชทานอนุญาตไปเฝ้าวัน พรุ่งนี้เลยพระเจ้าข้า” ชารีฟสบตาพระองค์อย่างรู้กัน

ooooooo

พระชายาถึงกับกุมขมับ อุตส่าห์นัดแนะกับฟาราห์ดิบดีให้หาทางพามิเชลล์ไปที่ศาลาพักร้อนบ่ายวันนี้หวังจะเซอร์ไพรส์ให้ได้เจอกับชารีฟ เธอกลับมาขออนุญาตไปเที่ยวตลาดกับนางกำนัล เวลาเดียวกัน พระองค์ทักท้วงว่าที่นั่นร้อนจะตาย มิเชลล์บอกว่าทนร้อนได้ แล้วขอตัวออกไปเลย พระชายาหน้าเหรอไม่รู้จะทำอย่างไร

“ทรงคิดสิเพคะ เร็วๆเพคะ” ฟาราห์เร่งรัด

“คิดอย่างเดียวยังคิดไม่ออก ยังจะให้คิดเร็วๆ อีก” พระชายาค้อนขวับ...

ด้านมิเชลล์เดินหน้าตายิ้มแย้มมาตามทางในตำหนัก ได้ยินหัวหน้านางกำนัลคุยกับซาร่านางกำนัล อีกคนหนึ่งว่ารู้เรื่องมิเชลล์หรือยัง เจ้าตัวหยุดกึก รีบหลบมุมแอบฟัง
“เจ้าหญิงสุไบดาพระมารดาของท่านราชองครักษ์ เอ๊ยไม่ใช่ ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ วีรบุรุษของฮิลฟารา จะเป็นตัวขัดขวางอย่างแน่นอนกับความรักที่เกิดขึ้นกลางทะเลทราย เจ้าหญิงพระมารดา...พวกเธอก็รู้อยู่แล้วว่าท่านทรงเคร่งครัด ยึดมั่นประเพณีแค่ไหน มีรึจะยอมมีลูกสะใภ้เป็นคนต่างชาติ หรือถ้าทรงยอม ก็ไม่ใช่เมียเอก เมียสอง...สาม...สี่ ล่ะพอได้” หัวหน้านางกำนัลนินทาเป็นชุด

ซาร่าสงสารมิเชลล์จะรับได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ พวกฝรั่งมีผัวเดียวเมียเดียวเสียด้วย มิเชลล์ถึงกับอึ้ง เดินหน้าเศร้าออกมาเจอฟาราห์ซึ่งกำลังตามหาเธออยู่พอดี แจ้งว่าพระชายามีรับสั่งว่าอย่าเพิ่งไปตลาดตอนนี้ให้ไปคอยที่ศาลาพักร้อนในสวน มิเชลล์ขอไปยกเลิกนัดกับพวกนางกำนัลก่อน ฟาราห์อาสาจะไปบอกให้เอง...

ในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงสุไบดาเห็นชารีฟรีบร้อนจะออกไปข้างนอก ร้องถามว่าจะรีบไปไหน เขาอ้างว่ามีธุระสำคัญจะต้องไปเฝ้าพระชายา เจ้าหญิงสุไบดาพยายามจะรั้งลูกชายไว้เพราะเดาออกว่าเรื่องสำคัญที่ว่าคงไม่พ้นเรื่องของมิเชลล์ แต่ไม่สำเร็จ พระองค์ต้องหาทางทำอะไรสักอย่างก่อนจะสายเกินไป...

ระหว่างนั่งรอพระชายาอยู่ที่ศาลาพักร้อนกลางสวน มิเชลล์ฉุกคิดถึงคำพูดของหัวหน้านางกำนัลเมื่อครู่ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า ได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนเดินขึ้นมาบนศาลา รีบเช็ดน้ำตา  หันมาดูต้องตกใจที่เห็น ชารีฟจ้องมองด้วยสายตาเปี่ยมรัก ต่างยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโผเข้าหากันเหมือนมีแม่เหล็กดึงดูด

“คิดถึงเธอแทบจะขาดใจ ฉันเห็นเธอแต่ในฝัน... ฝันแล้วฝันเล่า กว่าจะถึงวันนี้คิดถึงฉันบ้างไหมมิเชลล์”

“ฉันก็คิดถึงท่าน คิดถึงว่าท่านน่าจะถูกตามล่า เราหนีกันไปกลางทะเลทราย ไปอยู่ด้วยกันที่นั่น”

ชารีฟหัวเราะชอบใจ จะได้ไปฮันนีมูนและให้กำเนิดลูก 6 คนกลางทะเลทรายสมกับคำทำนายของโหรหลวง มิเชลล์ทักท้วงว่าถ้าเขามีเมีย 4 คน คงต้องมีลูกมากกว่านั้น เขาสงสัยเธอไปเอาความคิดนี้มาจากไหน

“คนพูดกันค่ะว่าท่านจำเป็นต้องมีผู้หญิงเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นเมีย พอท่านมีตำแหน่งใหญ่ขึ้น ท่านก็ต้องมีเมียให้ครบ 4 คน ปลูกตึกทาสีเหมือนกันอีกสามหลัง”

“ไม่อยากเป็นเมียหลวงนั่งว่าราชการบนตึกใหญ่หรือ” ชารีฟแกล้งกระเซ้า แต่มิเชลล์ไม่สนุกด้วย เพราะได้ยินมาว่าเมียหลวงของท่านรัฐมนตรีต่างประเทศต้องไม่ใช่คนต่างชาติ และแม่ของเขาจะเป็นคนหาเมียหลวงให้เขาเอง ชารีฟเห็นเป็นแค่เรื่องขำๆ แหย่เล่นว่าเธอจะทำอย่างไร จะสู้กับแม่ของเขาอย่างไร

“ใครว่าฉันจะสู้ ฉันจะกลับฝรั่งเศส ไปตั้งโรงเรียนเล็กๆในชนบท ฉันตัดสินใจผิดที่ไม่กลับปารีส เพราะฉันรักท่าน ตั้งแต่เราอยู่ด้วยกันกลางทะเลทราย ฉันมีความสุขที่สุด แต่ฉันยังไม่คุ้นกับประเพณีหลายบ้าน แชร์สามีคนเดียวกัน ถ้าท่านจำเป็นต้องทำอย่างนั้น ส่งฉันกลับปารีสเถิด ฉันยินดี เพราะฉันก็รู้แล้วว่ารักท่านเป็นอย่างไร มีความสุขแค่ไหน ถึงจะเป็นความสุขระยะสั้นๆ ของชีวิต ฉันก็ขอบคุณท่านมากที่นำความสุขนั้นมาให้”

ชารีฟหน้าเครียด เตือนมิเชลล์อย่าลืมว่าเธอเปลี่ยนศาสนามานับถือพระเจ้าของเขาแล้ว เธอไม่ลืม และจำได้ว่าทำด้วยความเต็มใจ แต่เรื่องเมียสี่คนเธอรับไม่ได้จริงๆ ชารีฟหงุดหงิดที่เธอพูดเรื่องนี้ซ้ำซากอยู่ได้ เขาให้สัญญาไว้แล้วว่าจะมีเมียคนเดียว มิเชลล์ไม่เชื่อ ชารีฟโกรธออกจากศาลาไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงเรียกให้กลับมาคุยกันก่อน เธอรีบวิ่งไปดักหน้า ตำหนิเขาว่าไม่ควรโกรธที่เธอพูดความจริงตามที่ได้ยินมา

“ฉันโกรธที่เธอไม่เชื่อฉัน โกรธที่คำพูดของคนอื่นทำให้เธอเชื่อมากกว่าคำพูดของฉัน”

“พวกนั้นไม่ได้พูดเอง แต่พูดถึงคำพูดของเจ้าหญิงพระมารดาของท่านและฉันก็เข้าใจว่าพระองค์เป็นพระมารดาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นคนในราชวงศ์ เป็นชนชั้นปกครองจะให้คนคนนั้นละเมิดประเพณีย่อมมิบังควร ฉันเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ค่ะ”

“เธอไม่เคยเป็นแม่” ชารีฟโต้ไม่ยอมแพ้

“แม่ของลูกมองทุกสิ่งที่ล้อมรอบตัวลูก แต่ลูกมองจากตัวเอง เห็นไม่เหมือนกันหรอกค่ะ ฉันเชื่อพระมารดาของท่านผิดตรงไหนหรือคะ” มิเชลล์มองชารีฟด้วยสายตาวิงวอน เขาเดินจากไปไม่ตอบโต้อะไรอีก...
ชารีฟพกความหงุดหงิดกลับมาถามแม่ว่าไปบอกใครต่อใครหรือว่าท่านกำลังหาเมียหลวงให้เขา และจะไม่ยอมให้มิเชลล์เป็นเมียหลวง หนำซ้ำยังจะให้เขามีเมียสี่คนอีกด้วย เจ้าหญิงสุไบดาย้อนถามว่าเขารักผู้หญิงต่างชาติคนนั้นมากแค่ไหน ชารีฟรักเธอมาก และเธอก็รักเขาเช่นกัน ความตายเท่านั้นที่จะแยกเราจากกัน

“ก็แล้วจะมีอะไรขัดข้อง ไม่มีใครแยกลูกทั้งสองคน องค์อาหเม็ดจะจัดงานแต่งงานให้อยู่แล้ว”

“ท่านแม่ปล่อยข่าวอย่างนั้นไปใช่หรือไม่”

เจ้าหญิงสุไบดาชักสีหน้าไม่พอใจ เตือนลูกว่าตำแหน่งหน้าที่ของเขาต้องการเมียที่เป็นหญิงเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเรา ส่วนผู้หญิงต่างชาติคนนั้นต้องให้อยู่ในฐานะที่รองกว่าเมียที่เป็นคนชาติเดียวกัน
“ลูกมีเมียได้ถึงสี่คน เมียคนที่หนึ่งควรจะเป็นคนของเราเพื่อจะได้ดูแลสมบัติและรับผิดชอบงานด้านสตรี เมียรัฐมนตรีก็ย่อมต้องพบปะกับทูตานุทูตเป็นธรรมดา แม่จะบอกให้พ่อของลูกจัดการสู่ขอสาวผู้ดีคนไหนก็ได้ที่พ่อเห็นสมควร” เจ้าหญิงสุไบดาพูดจบ ขยับจะไป ชารีฟร้องเรียกไว้ ถ้าตำแหน่งของเขาใหญ่โตมากนัก จำเป็นต้องหาเมียที่เชิดหน้าชูตาสมเกียรติยศ ขอให้ท่านคอยดูก็แล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น...

ooooooo

ชารีฟทำตามคำขู่ วันรุ่งขึ้นรีบไปเข้าเฝ้าองค์อาหเม็ดและขออนุญาตลาออกจากทุกตำแหน่ง พระองค์โกรธมากถึงตบโต๊ะเปรี้ยง ห้ามไม่ให้ลาออกไม่ว่าจะตำแหน่งไหนทั้งสิ้น

“ข้าพระองค์มีปัญหาส่วนตัว ความจริงไม่อยากจะทำเช่นนั้น”

พระองค์ไม่ต้องการฟังเหตุผลใดๆ ถ้าชารีฟยังดื้อดึงอยู่อีกจะถือว่าเขาทรยศ ตอนนี้ฮิลฟารากำลังมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของต่างประเทศ ชารีฟเพิ่งจะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศแล้วจะมาขอลาออก พระองค์ยอมไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าชารีฟจะยกเหตุผลอะไรมาอ้าง องค์อาหเม็ดยืนกรานคำเดิม...

อีกมุมหนึ่งหน้าตำหนักหลวง มิเชลล์ต้องการเข้าเฝ้าองค์อาหเม็ด จึงทำทีว่าจะนำจดหมายจากพระชายามาถวาย ทำให้ทหารยามไม่กล้าขัดขวาง จำต้องปล่อยให้เธอเข้าไปในตัวตำหนัก เมื่อมาถึงหน้าห้องทำงาน มิเชลล์ได้ยินเสียงองค์อาหเม็ดโวยวายออกมาจากในห้อง

“ได้ยินไหมชารีฟ เจ้าออกไปได้แล้ว เราจะลืมให้หมดเหมือนกับเจ้าไม่ได้มาเอ่ยวาจาน่าละอายนั้นกับเรา จะลาออกทุกตำแหน่ง...เชอะ เสียสติไปแล้วถึงพูดเช่นนั้นออกมาได้ เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก กลับไปได้แล้ว”

ชารีฟเดินคอตก เปิดประตูห้องจะออกไป เจอมิเชลล์ยืนอยู่หน้าประตู ทั้งคู่ต่างตะลึง มิเชลล์ลืมตัวจะโผเข้าหา แต่ชารีฟยกมือห้ามไว้ เธอได้สติรู้ว่าตัวเองมาทำอะไร หันไปทางองค์อาหเม็ด ขออนุญาตเข้าเฝ้า พระองค์ไม่อนุญาต และไม่อยากได้ยินคำพูดใดๆจากเธอ แค่นี้ก็ถือว่าผิดประเพณีร้ายแรงอยู่แล้ว แต่พระองค์จะไม่เอาโทษเพราะถือว่าเธอเป็นชาวต่างชาติ แต่ขอบอกให้รู้ไว้ว่าเธอจะไม่ได้สิ่งที่เธอต้องการ

“เราจะไม่มีวันยอมให้ชารีฟทำอย่างที่เธอปั่นหัวให้เขาทำ” องค์อาหเม็ดคิดว่ามิเชลล์อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

“หม่อมฉันมาทูลลากลับประเทศฝรั่งเศสเพคะ ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็จะไม่อยู่ที่นี่ และหม่อมฉันก็จะไม่แต่งงานกับชาวฮิลฟาราคนใดทั้งสิ้น หม่อมฉันจะกลับประเทศเทศฝรั่งเศสเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

องค์อาหเม็ดขอฟังเหตุผล มิเชลล์อ้างว่าทนไม่ได้ที่จะอยู่ที่ฮิลฟาราต่อไป เนื่องจากไม่คุ้นกับประเพณีทุกอย่างของที่นี่ เธอคุ้นเคยกับฝรั่งเศสเพราะอยู่มาตั้งแต่เด็ก แค่คิดว่าจะต้องอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่ฝรั่งเศสก็ทนไม่ได้แล้ว จึงมาทูลขออนุญาตกลับบ้านเกิด ชารีฟไม่ยอมให้เธอไปไหนทั้งนั้น

“ท่านรัฐมนตรี ท่านเป็นเจ้าชีวิตของฉันหรือคะ” มิเชลล์กะพริบตาถี่ๆเพื่อให้น้ำตาไหลกลับ

“มิเชลล์...เธอทำได้ลงคอหรือมิเชลล์” ชารีฟสะเทือนใจมาก

“ท่านคะ ฉันไม่ใช่พืชพันธุ์ที่จะโตขึ้นได้ในฮิลฟารา ฉันต้องกลับไปสู่แผ่นดินเกิดของฉันนะคะ เหมือนกับที่ท่านต้องอยู่ในแผ่นดินของท่าน เราสองคนเป็นพืชพันธุ์ที่ไม่มีวันจะเติบโตขึ้นมาด้วยกัน ท่านอยู่ในฐานะสูงส่ง ฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงฉันก็ต้องไป” มิเชลล์ว่าแล้วหันไปทูลลาองค์อาหเม็ด และหวังว่าพระองค์จะไม่ขัดข้อง ทำความเคารพแล้วถอยออกไปทันที ชารีฟยืนซังกะตายอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้รีบวิ่งตามโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกอันโกรธเกรี้ยวให้กลับมาขององค์อาหเม็ด

ooooooo
ครู่ต่อมา ชารีฟวิ่งตามมิเชลล์จนทัน คว้าตัวมา กอดไว้ เธอดิ้นรนสุดฤทธิ์จะไปให้ได้ เขาไม่ยอมปล่อยและจะไม่ยอมให้เธอไปไหนเด็ดขาด มิเชลล์หยุดดิ้นมองชารีฟที่สีหน้าหม่นหมองด้วยสายตาแน่วแน่

“ท่านคือพลตรีนายแพทย์ ชารีฟ อัลฟารัช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฮิลฟารา อย่าลืมสิคะ ท่านมีหน้าที่ต่อฮิลฟารา ต่อประชาชนทั้งประเทศ ต่อองค์อาหเม็ดและต่อตัวท่านเอง”

“หน้าที่ของฉันต่อเธอ หน้าที่ของเธอต่อฉันล่ะ...

มิเชลล์เราเป็นสามีภรรยากันนะ เราไม่มีหน้าที่ต่อกันหรือ ว่าไงมิเชลล์ หน้าที่ของเราทั้งสองที่มีต่อกัน เธอเอามันไปทิ้งเสียที่ไหน” ชารีฟตัดพ้อ

มิเชลล์ไม่เคยลืมวันเวลาที่เราทั้งคู่ร่อนเร่กลางทะเลทรายด้วยกัน ทุกวันเห็นแต่ฟ้าจรดทราย เราทั้งคู่เป็นอิสระ เธอไม่ใช่เด็กกำพร้าที่สกุลเดอลาโรนีส์อันมีเกียรติไม่พึงปรารถนา เติบโตมาอย่างไร้ญาติขาดมิตรกับแม่ชีในคอนแวนต์ และเขาก็ไม่ใช่รัฐมนตรี ไม่ใช่บุรุษผู้ทรงเกียรติซึ่งสืบสายโลหิตจากราชวงศ์ของฮิลฟารา

“เวลานั้น ทุกอย่างรอบตัวเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ไม่เหมือนเวลานี้ วันนี้และต่อๆไป ที่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎสังคม ท่านกับฉันมีหน้าที่ต่อกัน แต่เวลานี้อย่างที่ฉันบอกนะคะชารีฟ ท่านมีหน้าที่ต่อ...สิ่งอื่นๆ ส่วนฉัน...ฉันมีหน้าที่ต่อท่าน เพื่อให้ท่านทำหน้าที่ต่อประเทศของท่านให้สมบูรณ์ที่สุด” มิเชลล์สีหน้ามุ่งมั่น

ทั้งคู่สบตากันด้วยความรัก ความอาวรณ์เต็มหัวใจ กว่าจะรู้ตัวอีกที ต่างอยู่ในอ้อมกอดซึ่งกันและกัน...
ที่มา:ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น