บทประพันธ์ วราภา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 โดย ภาวิต
ตอนที่ 1
จันทร์
เต็มดวงสวยเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นดวงจันทร์สีเลือดเมื่อเมฆทะมึนมองคล้ายปีศาจ ลอยผ่าน
คฤหาสน์โดมทองที่อาบด้วยแสงจันทร์สีเลือดยิ่งทำให้ดูลึกลับน่ากลัว ประตูหน้าต่างที่ปิดสนิทเสมือนที่แห่งนี้ร้างผู้คน
ห่างออก
มาไม่ไกลนัก ภายในโรงเก็บม้าร้างกลับมีเสียงดังกุกกักขึ้น หมอกค่อยๆเคลื่อนเข้ามาปกคลุมโดยรอบ
บรรยากาศวังเวงชวนขนหัวลุก ทันใดนั้น ประตูโรงเก็บม้าก็เปิดออก
ชายในชุดเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกหลุมต่ำบังคับรถม้าแล่นฝ่าหมอกตรงไปยังคฤหาสน์ซึ่งตอนนี้ห้องบนยอด
โดมค่อยๆสว่างขึ้นด้วยแสงเทียนราวกับมีคนจุด พร้อมกับเสียงบรรเลงดนตรีไทยดังขึ้นอย่างเศร้าสร้อย
มาจากที่ไหนสักแห่งในคฤหาสน์
รถ ม้าเคลื่อนมาหยุดใต้ห้องนั้น
คนขับค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะทันเห็นใบหน้าชายลึกลับ เมฆดำกลุ่มใหญ่เคลื่อนมาบดบังแสงจันทร์อีกครั้ง
ทำให้ทุกอย่างมืดมิด...
ท่าน ผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ประมุขของคฤหาสน์โดมทองกำลังนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง
สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนเดินลากโซ่ตรวนลงบันไดมา เสียงบรรเลงดนตรีไทยชวนขนหัวลุกยังคงดังฝ่าความเงียบสงัด
ท่านผู้หญิงสีหน้าตื่นตระหนก พึมพำด้วยเสียงแหบแห้ง
“นังพลับพลึง”
เสียง
เดินลากโซ่ตรวนใกล้เข้ามาทุกที ประตูเหล็กกั้นทางลงจากยอดโดมซึ่งคล้องไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่เกรอะไปด้วยสนิม
สภาพไม่ต่างจากกุญแจที่ล็อกมันอยู่หลุดออกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาไข จากนั้นเสียงลากโซ่ตรวนเดินมาหยุดหน้าห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ซึ่งเอามือกุม
สร้อยพระเครื่องที่ห้อยคอไว้แน่น จากความกลัวเปลี่ยนเป็นบ้าบิ่น ตะโกนท้าทายพลับพลึงให้เข้ามาหาอย่างไม่เกรงกลัว
ประตูเปิดผลัวะราวกับจะรับคำท้า
หมอก ควันที่ปกคลุมโดยรอบค่อยๆจางลงเผยให้เห็นเจ้าของเสียงเดินลากโซ่ตรวน
ท่านผู้หญิงสรรักษ์กรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นร่างที่เหลือแต่ กระดูก
ทัดดอกพลับพลึง ท่านสะดุ้งสุดตัว ลุกพรวดเหลียวมองไปรอบๆถึงได้รู้ว่าเป็นเพียงความฝัน
แต่แล้วกลับมีเสียงฝีเท้าม้าดังกุกกักอยู่นอกคฤหาสน์
“มาหากันรึ ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่พวกแกจะไม่มีวันได้พบกัน” ท่านผู้หญิงขบกรามแน่นอย่างแค้นใจ
ณ
คฤหาสน์โดมทองในปัจจุบัน...
อดิ ศวร์หรือคุณลบหลานย่าของท่านผู้หญิงสรรักษ์
กำลังโทร.บอกสุรภีซึ่งเกี่ยวดองเป็นอาหลานกันว่าอยากได้คนดูแลคุณย่าคนใหม่ แทนคนเก่าที่เพิ่งถูกท่านไล่ตะเพิดไปเมื่อวาน
สุรภีขอให้เขาช่วยพูดกับท่านให้ใจเย็นลงหน่อย อย่าดุด่าว่ากล่าวคนดูแลมากนัก คนที่แล้วเป็นพยาบาลเอาอกเอาใจเก่งมากน่าเสียดายที่โดนไล่
“ผมรับรองว่าคนใหม่นี่ผมจะดูแลเองจะไม่ให้เสียชื่อคุณอาเลยครับ”
สุรภีไม่ได้กลัวเสียชื่อ
แต่ห่วงอดิศวร์จะเดือดร้อนต้องคอยหาคนดูแลคุณย่าเรื่อยๆไปไม่จบไม่สิ้น...
หลัง วางสายจากสุรภี
อดิศวร์แวะมาหาคุณย่าของเขาที่ห้องนอน ท่านหญิงสรรักษ์ไล่อุษาที่มาคอยดูแลแทนชั่วคราวให้ออกไปนอกห้องก่อน
แล้วหันไปบ่นให้หลานชายว่าไม่อยากหลับอยากนอนอีกต่อไป พอจะเคลิ้มเมื่อไหร่ นังพลับพลึงต้องมาหาเธอทุกครั้งไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
ไม่รู้จักไปผุดไปเกิดเสียที
“คุณ ย่าอาจจะพะวงถึงแต่คุณย่าน้อย ไม่ใช่ความผิดของคุณย่าหรอกครับที่คุณน้อยหนีไป
อีกอย่างหนึ่งเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ถ้าคุณย่าน้อยยังมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งท่านก็คงจะกลับมา”
ท่าน ผู้หญิงสรรักษ์สะดุ้งเฮือก
โบกไม้โบกมือร้องห้ามเสียงหลงว่าอย่าให้พลับพลึงกลับมา เธอตายไปแล้ว กำชับอดิศวร์ต้องคอยดูอย่าให้นังนั่นกลับมาเด็ดขาด
เธอจะมาแก้แค้นตน ชายหนุ่มเข้าไปกอดปลอบใจว่าไม่มีใครเกลียดคุณย่า
ทุกคนรักท่านทั้งนั้น
“นัง พลับพลึงเกลียดย่า เจ้าคุณปู่ของลบก็เกลียดย่า ท่านไม่ยอมพูดกับย่าเลยจนตายจาก...ไอ้พวกทรยศเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่อง
ย่าขอสาปแช่งพวกมันให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ผุดได้เกิด” ท่านผู้หญิงสรรักษ์สะอื้นจนตัวโยน
อดิศวร์ลูบหน้าลูบหลังปลอบใจราวกับท่านเป็นเด็กๆ...
ที่ หน้าห้องนอนของท่านผู้หญิงสรรักษ์
ระหว่างที่แสงแขกำลังคุยกับอุษาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่พอเห็นอดิศวร์ออกมาจากห้องเท่านั้น
รีบปรับสีหน้าเป็นกังวลถามว่าคุณย่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอมัวแต่ไปตัดดอกไม้มาจัดแจกันเพิ่งรู้ข่าวตกใจมาก
เขาตอบอย่างขอไปทีว่าท่านก็เป็นเหมือนเคยๆ นี่เพิ่งจะหลับไป แล้วหันไปสั่งอุษาว่าตอนที่เขาไม่อยู่
ให้ช่วยดูแลคุณย่าให้ดีด้วย อุษายังไม่ทันจะว่าอะไร แสงแขชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“คุณลบไม่ต้องห่วงเลยค่ะ แขจะคอยดูแลท่านเป็นอย่างดีที่สุด
ให้สมกับที่คุณลบไว้วางใจ” แสงแขมองตาม
อดิศวร์ที่เดินจากไปด้วยความรักและเทิดทูน
อุษาเห็นสายตาน้องสาวแล้วส่ายหน้าหนักใจ...
ทางด้านอดิศวร์ยังคาใจกับสิ่งที่คุณย่าพูดถึง
คุณ ย่าน้อยและเจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์
คุณปู่ของเขา พลันเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เขาพาคุณย่านั่งรถเข็นไปยังทุ่งพลับพลึงหลัง
คฤหาสน์โดมทองผุดขึ้นมาในความคิดของ
อดิ ศวร์
ตอนนั้น ท่านร่ำร้องให้เขาพากลับไม่เห็นทุ่งพลับพลึง หาว่าเป็นทุ่งดอกไม้ผีสิง
กำจัดอย่างไรก็ไม่ตายเขาจึงต้องเข็นรถเข็นกลับ พอผ่านต้นมณฑาซึ่งกำลังออกดอก
ท่านสั่งหลานชายให้แวะเก็บดอกมณฑาให้
“คุณปู่ปลูกให้คุณย่าใช่ไหมครับ...แสดงว่าท่านก็รักคุณย่ามาก”
ท่าน ผู้หญิงสรรักษ์หรือชื่อเดิมว่ามณฑาไม่ตอบ
มองหน้าอดิศวร์แล้วบ่นพึมพำว่าเขาหน้าตาเหมือนคุณปู่มาก ชายหนุ่มสงสัยทำไมในบ้านไม่มีรูปคุณปู่แม้แต่รูปเดียว
เขาจะได้เห็นว่าเหมือนท่านมากขนาดไหน ท่านผู้หญิงสรรักษ์บอกให้หลานชายส่องกระจกดูก็จะเห็นเอง
อดิศวร์ประหลาดใจทำไมถึงเหมือนกันมากขนาดนั้น
ooooooo
หลาย วันถัดมา
อดิศวร์ต้องเข้ามาทำธุระหลายอย่าง ที่กรุงเทพฯ และหนึ่งในนั้นคือนัดกินอาหารกับเพื่อนๆที่ร้านหรูแห่งหนึ่ง
ซึ่งทำให้เขาได้พบกับวิรงรองที่มากิน ข้าวกับอนิรุทธิ์เพื่อนสนิทของเธอเป็นครั้งแรก
อดิศวร์สะดุดตาในความสวยน่ารักสดใสและมีชีวิตชีวาของเธอ
แต่ แล้วความสวยถูกใจกลับแปรเปลี่ยนเป็นดูถูกหยามเหยียดเมื่อพิชญ์ชายหนุ่มอีกคน
ตามเข้ามาในร้าน เห็นวิรงรองแฟนของตัวเองกำลังหัวเราะหัวใคร่อยู่กับอนิรุทธิ์ จึงเกิดหึงหวงขึ้นมาจนมีเรื่องชกต่อยกัน
วิรงรองอับอายมากเดินก้มหน้างุดๆออกจากร้าน เรียกแท็กซี่แล้วขึ้นรถหนีไปทันที
พิชญ์วิ่งตามมาเรียกแต่ไม่ทัน หันไปเห็นอนิรุทธิ์ตามมาข้างหลังจัดแจงจะเข้าไปเอาเรื่องอีกแต่ต้องแปลกใจ
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“ตาม ไปง้อเธอสิ...ผมเป็นเพื่อนของเธอจริงๆอยากจะเปลี่ยนฐานะเหมือนกันแต่วิรงรอง
จิตใจมั่นคงแน่วแน่ แล้วที่เธอมากินข้าวกับผมวันนี้ก็เพราะจะปรึกษาเรื่องที่คนรักของเธอเปลี่ยน
ไป...คุณเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดนะคุณพิชญ์เสียอย่างเดียว งี่เง่า” อนิรุทธิ์ด่าจบผละจากไป ทิ้งพิชญ์ให้ยืนทอดถอนใจเพียงลำพัง...
ไม่ นานนัก
พิชญ์ตามมาง้อวิรงรองถึงบ้าน ปรางแม่ของเธอให้เด็กรับใช้ขึ้นไปตาม แต่วิรงรองไม่ยอมลงมาพบเขา
ปรางอาสาจะไปตามให้ และหว่านล้อมจนลูกสาวยอมลงมาพูดคุยด้วย
พิชญ์
พยายามง้อวิรงรองหรือที่เขามักจะเรียกว่าพลับพลึง ขอโทษเรื่องที่ร้านอาหาร เขาผิดเองเพราะพักนี้มีแต่เรื่องทำให้หงุดหงิดไม่สบายใจ
วิรงรองอยากช่วยแบ่งเบาถามว่ามีเรื่องอะไร เธอพอจะช่วยได้ไหม
“ผม ไม่อยากให้พลับพลึงไม่สบายใจไปด้วย เอาเป็นว่าผมกำลังพยายามแก้ปัญหาอยู่ก็แล้วกัน”
พิชญ์เห็นวิรงรองยังมึนตึง ตัดสินใจหยิบแหวนเพชรน้ำงามออกมาจากกระเป๋า
คุยว่าแม้เม็ดจะเล็กแต่ก็ซื้อมันมาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง แล้วคว้ามือซ้ายวิรงรองขึ้นมาจะสวมแหวนที่นิ้วนางให้
เธอกลับยื่นมือข้างขวาให้แทน
“ข้างนี้ดีกว่านะคะ เอาไว้ให้พิชญ์พูดกับคุณแม่ของพลับพลึงเป็นทางการก่อน
แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นข้างซ้าย”
พิชญ์
หน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับคำ ขณะจะสวมแหวนให้วิรงรอง ต้องชะงักเมื่อมีเสียงกระแอมของปรางดังขึ้น
หญิงสาวรีบชักมือกลับ หันไปอธิบายกับแม่อย่างเขินๆ ว่าพิชญ์ซื้อแหวนมาให้เธอ
“ดี จ้ะ แต่ของอย่างนี้ต้องให้ผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่ายก่อน จะมามุบมิบให้กันสองคนไม่ได้
คนไทยเราถือจ้ะ ต่อให้สมัยใหม่แค่ไหนก็ต้องให้เกียรติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายและให้เกียรติคนที่
เรารักด้วย”
ชาย หนุ่มหน้าเจื่อนรีบยกมือไหว้ขอโทษปราง
วิรงรองแก้ตัวแทนคนรักว่า เขาแค่จะสวมแหวนที่มือขวาไม่ใช่มือซ้าย
ปรางยืนยันจะสวมมือไหนก็เหมือนกัน นอกจากพิชญ์จะสวมให้เล่นๆไม่ได้มีความหมายอะไร
“ไม่ ใช่อย่างนั้นแน่นอนใช่ไหมคะพิชญ์” วิรงรองมองหน้าชายคนรัก
เขากลับอึกอักมีพิรุธ ปรางเหมือนจะรู้ทัน บอกให้ทั้งคู่คุยกันให้รู้เรื่องก่อนแล้วขอตัวออกมา
วิรงรองคาดคั้นให้เขาบอกมาว่ามีเรื่องอะไรกันแน่
“คุณ แม่ท่านหมั้นผู้หญิงไว้ให้ผมแล้ว ท่านเพิ่งบอกผมตอนไปรับที่สนามบิน คงคิดว่าจะเซอร์ไพรส์ผม
แต่...” พิชญ์จำต้องหยุดพูดเมื่อเห็นท่าทีตกตะลึงของหญิงคนรัก...
ฝ่าย อดิศวร์ถือโอกาสเข้ากรุงเทพฯแวะมาเยี่ยมคุณหญิงที่วัชรีที่บ้าน
กลับพบแต่พิณทองหลานสาว ซึ่งชวนเขาอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน จะได้แนะนำให้รู้จักกับคนพิเศษของเธอ
เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นลูกชายของเพื่อนคุณแม่
เพิ่งกลับจากอเมริกาเมื่อวันก่อน แล้วถามอดิศวร์อย่างเขินอายว่า
จะเร็วไปไหมถ้าเธอจะรับหมั้นคนพิเศษคนนั้น อดิศวร์แปลกใจ ไหนว่ารู้จักกันมานานแล้ว
พิณทองยืนยันว่ารู้จักมานานจริงๆ แต่เขาไปเรียนต่อเมืองนอกก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน ทั้งแม่ของเธอและแม่ของเขาต่างสนับสนุนให้เราสองคนหมั้นกัน
“แล้วคุณพิณคิดว่ายังไงล่ะ” อดิศวร์เห็นหลานรักยิ้มเขินๆ
เดาได้ไม่ยากว่าเธอชอบผู้ชายคนนี้ “น้าลบชักอยากจะเห็นหน้าคุณ...อะไรนะ”
“พิชญ์ค่ะ...เขาชื่อพิชญ์”
ooooooo
วิรงรอง
ไม่อยากมีปัญหาตัดสินใจตัดสัมพันธ์กับพิชญ์ แต่เขาไม่ยอม ขอเวลาสักวันสองวันจะอธิบายให้คุณแม่ของเขาฟังว่าเราสองคนรักกันมากแค่ไหน
เธอตัดพ้นว่า ถ้าต้องถึงกับพยายามก็อย่าทำดีกว่า ทำอย่างที่คุณแม่ของเขาต้องการดีที่สุด
พิชญ์คลางแคลงใจทำไมเธอทำเหมือนไม่รักเขา หรือเป็นเพราะนายอนิรุทธิ์คนนั้น
“เขาเป็นเพื่อนพลับพลึง อย่าเอาเขาเข้ามาเกี่ยว” วิรงรองเหนื่อยใจที่เขาพาลหาเรื่องคนอื่น
พิชญ์
รู้สึกตัวรีบเปลี่ยนท่าที “ผมจะพูดกับคุณแม่ รอผมนะพลับพลึง ผมจะบอกคุณแม่ว่าผมมีคนที่ผมมีคนที่ผมรักแล้ว
คุณแม่ต้องเห็นใจเรา ผมมั่นใจ...พรุ่งนี้ผมจะมาหาแต่เช้าพร้อมกับข่าวดี”
วิรงรองมองคนรักขับรถจากไปด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวัง...
ครู่ ต่อมา
พิชญ์มาถึงบ้านพิณทองตามนัด อดิศวร์เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมทันทีที่เห็นหน้าเขาเพราะจำเหตุการณ์หึง
หวงในร้านอาหารเมื่อตอนกลางวันได้ หมด อารมณ์จะกินข้าวเย็นด้วย ขอตัวกลับ อ้างกับพิณทองเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระที่อื่นอีกแล้วจะแวะมาหาอีกทีก่อน
กลับโดมทอง พิณทองเห็นพิชญ์สีหน้างงๆรีบอธิบาย
“ชื่อบ้านน้าลบค่ะ พิณเคยเห็นแต่ในรูป ยังไม่เคยไปเหมือนกัน
แต่รับรองได้ว่าสวยมาก”
พิชญ์รับรู้ถึงท่าทีแปลกๆของอดิศวร์ถึงกับออกปากกับพิณทอง
แต่เธอกลับหาว่าเขาคิดมาก...
ทาง ด้านปรางร้อนใจเรื่องของลูกสาวจึงนัดกับสุรภีให้มาเจอกันที่ร้านกาแฟเจ้า
ประจำ แล้วเล่าเรื่องวิรงรองกับพิชญ์ให้ฟัง สุรภีเห็นด้วยกับปรางถ้าทั้งคู่แต่งงานกันชีวิตของวิรงรองต้องไม่มีความสุข
แน่นอน และเชื่อว่าเจ้าตัวรู้เรื่องนี้ดี
“แต่ ถ้านายพิชญ์พยายามง้องอนออดอ้อนทุกวัน แม่หนูต้องใจอ่อนแน่ บอกตามตรงว่าหนูไม่อยากให้ลูกได้ชื่อว่าไปแย่งคู่หมั้นคู่หมายเขา”
ปรางพูดจบถอนใจ หนักใจ
“...แม่ หนูกับคุณพิชญ์เขารักกันมาก่อนต่างหาก คุณพิชญ์เองก็เป็นคนดี ตอนเขาคบหากันที่อเมริกาก็อยู่
ในสายตาพี่ตลอด แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าพ่อแม่เขาไม่ชอบมันก็มีปัญหา...เอ่อ จริงสิ
เอาอย่างนี้ ส่งแกไปอยู่ที่อื่น”
ปราง ไม่อยากให้ลูกกลับอเมริกา
ไม่อยากให้แกไปไกลๆอย่างนั้นอีกแล้ว ทนคิดถึงไม่ไหว
สุรภีจะส่งวิรงรองไปคฤหาสน์โดมทองแทน ไปดูแลญาติผู้ใหญ่ของเธอที่นั่น อย่างน้อยแกก็จะได้อยู่ห่างๆจากพิชญ์แต่ไม่ไกลแม่เกินไป...
วิรงรอง
ทอดถอนใจก้มมองมือตัวเองเมื่อได้ยินข้อเสนอของแม่ ปรางไม่สบายใจนักขอโทษลูกเป็นการใหญ่เพราะคิดว่าแกไม่พอใจที่ตนเอาเรื่อง
ระหว่างแกกับพิชญ์ไปเล่าให้สุรภีฟังโดยไม่ได้บอกกล่าวกันก่อนวิรงรองไม่ถือ โทษโกรธอะไร
รู้ดีว่าแม่ทำไปเพราะรักและเป็นห่วง ที่สำคัญเธอนับถือป้าสุรภีเสมือนแม่คนหนึ่งเช่นกัน
ท่านส่งเสียให้เธอไปเรียนเมืองนอกและดูแลเธอเป็นอย่างดี วิรงรองไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ
“ตกลง ค่ะ ญาติผู้ใหญ่ของคุณป้าสุรภีเจ็บหนัก ทำไมหนูจะทดแทนพระคุณด้วยการไปช่วยดูแลให้ไม่ได้อีกอย่างหลบหน้าหลบตาพิชญ์
ไปสักพักก็คงจะดีจะได้มีเวลาใคร่ครวญว่าเราสองคนควรทำอย่างไรกันต่อไป”
“ถ้าอย่างนั้น คุณจะโทร.บอกคุณป้าเดี๋ยวนี้เลยนะลูก” ปรางว่าแล้วลุกออกไปด้วยความโล่งใจ
ooooooo
หลัง วางสายจากปราง
สุรภีรีบ โทร.แจ้งอดิศวร์ทันทีว่าได้คนดูแลท่านผู้หญิงสรรักษ์แล้ว เขาขอบคุณเธอมาก
และรับรองจะดูแลหลานของเธอเป็นอย่างดี สุรภีจะส่งรูปหลานสาวไปให้เขาดูเผื่อจะได้ตัดสินใจอีกที
“ไม่เป็นไรครับ ผมไว้ใจคุณอา...คุณอาบอกว่าดี ผมก็ว่าดี”
“อา จะส่งรูปไปให้ดู ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรเลยนี่ รอรับก็แล้วกัน” สุรภีพักสาย แล้วค้นหารูปในมือถือจนได้รูปวิรงรองตามต้องการ
จากนั้นก็กดส่ง สักพัก รูปไปปรากฏบนหน้าจอมือถือของอดิศวร์ ซึ่งจ้องรูปนั้นด้วยความประหลาดใจ
คาดไม่ถึงว่า เธอคือพลับพลึงที่เขาได้ยินพิชญ์เรียกที่ร้านอาหาร คิดหาทางทำอะไรสักอย่าง...
ค่ำ วันเดียวกัน
พิชญ์พยายามขอร้องคุณหญิงวัชรีแม่ของเขาให้ล้มเลิกการหมั้นระหว่างเขากับพิณ ทอง
เพราะเขามีคนรักอยู่แล้ว และพลับพลึงกับเขารักกันมาก
“ก็แค่ดอกพลับพลึง ดอกไม้ไม่มีราคา”
“เธอเป็นคนดีนะครับ คุณแม่เห็นแล้วจะต้องชอบ”
คุณ หญิงวัชรีไม่คิดจะชอบผู้หญิงคนไหนนอกจากพิณทองเท่านั้น
ขอร้องให้พิชญ์เห็นแก่หน้าพ่อกับแม่ ขืนไปยกเลิกการหมั้นหมายมีหวังทางโน้นได้ตามมาถอนหงอกเธอแน่
พิชญ์ยืนยันคำเดิม และขอร้องแม่ให้เห็นแก่เขาบ้าง เพราะนี่คือทั้งชีวิตของเขา
คุณหญิงวัชรีคิดแผนการบางอย่างออก ทำทีรับปากจะไปพบพลับพลึงเพื่อทำความรู้จักตามที่ลูกต้องการ
พิชญ์ยิ้มโล่งใจ
ooooooo
เหตุการณ์
ไม่เป็นอย่างที่พิชญ์หวัง คุณหญิงวัชรีมาหาวิรงรอง หรือที่พิชญ์เรียกว่าพลับพลึง
เพราะวิรงรองแปลว่าดอกพลับพลึงแต่เช้า เธอไม่ได้มาเพื่อจะทำความรู้จักคนรักของลูกอย่างที่รับปากเขาไว้
แต่มาเพื่อจะบอกให้วิรงรองเลิกติดต่อกับลูกชายของเธอ หญิงสาวถึงกับอึ้ง คุณหญิงวัชรีได้ทีใส่ไม่ยั้ง
“เขา เป็นลูกชายคนเดียวของฉัน ฉันจึงต้องการให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุด และหนูพิณทองก็คือผู้หญิงที่ดีที่สุดคู่ควรกับพิชญ์ที่สุด
เธอก็หน้าตาสะสวย น่าจะหาผู้ชายมาเป็นแฟนได้ไม่ยาก แต่ต้องระวังหน่อย อย่าหลับหูหลับตาไปคว้าเอาคนที่เขามีคู่หมั้นคู่หมายอีกก็แล้วกัน
หวังว่าเธอคงเข้าใจทั้งหมดที่ฉันพูดมานี่”
“ค่ะ แล้วก็ขอให้ท่านเข้าใจเหมือนกันว่า ถ้าหนูจะดื้อดึงยึดพิชญ์ไว้ก็ไม่น่าจะยาก
แต่เพื่อเห็นแก่ท่าน ซึ่งอุตส่าห์ดั้นด้นมาจนถึงที่นี่
หนูก็จะปล่อยพิชญ์เอาบุญ...เชิญค่ะ หนูจะออกไปส่ง” วิรงรองตอกกลับอย่างเจ็บแสบ
คุณหญิงวัชรีเจ็บใจมาก ไม่ต้องการให้เธอออกไปส่ง
ตนกลับเองได้แล้วเชิดหน้าคอตั้งจากไป
วิรงรอง
ถึงกับเข่าอ่อน พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล มีเสียงสายเรียกเข้ามือถือของเธอ ที่หน้าจอโชว์เบอร์ของพิชญ์
เธอตัดสินใจกดปิดเครื่องทันที...
ทั้ง สุรภีและปรางต่างใจร้อนอยากให้วิรงรองไปให้พ้นจากพิชญ์ในเร็ววัน
สุรภีจึงโทร.ถามอดิศวร์ว่าจะให้หลานของเธอไปคฤหาสน์โดมทองเมื่อไหร่ เขายกให้เป็นการตัดสินใจของหลานเธอเอง
พร้อมเมื่อไหร่ให้ไปได้เลย แต่ต้องบอกล่วงหน้าเพื่อจะได้จัดการเรื่องการเดินทางให้
“ถ้าอย่างนั้นอาจะให้แกโทร.หาคุณลบเองก็แล้วกัน”
อดิ ศวร์ตกลงตามสุรภีว่า
แล้วขอตัวก่อนจะรีบเดินทางกลับโดมทอง สุรภีวางสายแล้วหันบอกปรางว่า
ทุกอย่างเรียบร้อย ตอนนี้ขึ้นอยู่กับวิรงรองแล้วว่าจะเอาอย่างไร...
วิรงรอง
ไม่มีอิดเอื้อนตกลงใจจะเดินทางไปคฤหาสน์ โดมทองในวันพรุ่งนี้เลยถ้าทางนั้นไม่ขัดข้อง
สุรภีิยืนยันว่า อดิศวร์ยินดี เพราะอยากได้คนดีๆไปดูแลคุณย่าของเขา
ปรางเตือนวิรงรองว่า อย่าทำให้เสียชื่อป้าสุรภีที่อุตส่าห์ให้คำรับรองตัวเธอเป็นอย่างดี
สุรภีเชื่อว่าหลานรักไม่มีวันทำให้อย่างนั้นแน่นอน
“หนู เองก็ต้องใช้ความอดทนสูงเหมือนกัน ท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์คุณย่าของคุณลบน่ะ
เอาใจยาก อยู่เหมือนกัน ป้าต้องบอกความจริงกับหนูว่าคนที่ป้าส่งไปที่แล้วอยู่ได้เดือนเดียวก็ออก
ท่านผู้หญิงท่านอารมณ์ร้าย” สุรภีเตือน ปรางเริ่มเป็นกังวล เกรงลูกจะอยู่ที่นั่นไม่ได้
“คุณไม่ต้องห่วงค่ะ ยังไงที่นั่นก็คงจะดีกว่ากรุงเทพฯ แน่นอน หนูจะพยายามอดทน”
จาก นั้น
วิรงรองโทร.เข้ามือถือของอดิศวร์ตามเบอร์ที่สุรภีให้มา หลังจากแนะนำตัวเองเรียบร้อย
เธอแจ้งว่าพรุ่งนี้พร้อมเดินทางไปคฤหาสน์โดมทอง อดิศวร์สั่งให้เธอไปที่นั่นด้วยรถไฟ
วิรงรองแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ถามซ้ำว่าเมื่อครู่เขาพูดว่าอะไร อดิศวร์ยืนยันคำเดิมว่าให้เธอไปรถไฟดีที่สุด...
ปราง ประหลาดใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่าทางนายจ้างให้ลูกของเธอนั่งรถไฟไปยังคฤหาสน์โดม
ทอง แทนที่จะให้ขึ้นเครื่องบิน วิรงรองเองก็ถามเขาเช่นกันทำไมถึงไปเครื่องบินไม่ได้
เขากลับทำเสียงเหมือนเธอโง่เง่า สงสัยว่าคนที่ร้ายกาจไม่ได้มีเพียงท่านผู้หญิงสรรักษ์
หลานชายของท่านอาจจะร้ายยิ่งกว่า
“แม่หนูยังเปลี่ยนใจทันนะลูก”
“ไม่ ค่ะ หนูตั้งใจแน่นอนแล้ว อีกอย่างหนูไป
พยาบาลคุณย่าเขาไม่ใช่ไปพยาบาลเขา คิดในแง่ดีเขาอาจอยากให้หนูได้ชื่นชมทิวทัศน์สองข้างทางก็ได้หรือไม่ก็งกจัด
ไม่อยากเสียค่าเครื่องบิน” วิรงรองยิ้มอารมณ์ดี พลอยทำให้ปรางคลายความกังวลลง...
ตก ดึกคืนนั้น
วิรงรองฝันประหลาด ฝันว่าเดินตามทางจนถึงหน้าประตูรั้วของคฤหาสน์แห่งหนึ่งโดยไม่รู้ว่าที่นั่น
คือโดมทอง มีหมอกจางๆลอยอ้อยอิ่งอยู่ทั่วบริเวณ อยู่ๆประตูรั้วเปิดออก เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเข้าไป
พลันมีใครบางคนร้องเพลง “นางครวญ” ดังฝ่าความเงียบ
หญิงสาวหยุดกึกเหลียวหาที่มาของเสียง
“ใครน่ะ...ใครร้องเพลง”
ไม่ มีเสียงตอบ
วิรงรองตัดสินใจเดินตามไปยังต้นเสียงจนกระทั่งถึงทุ่งดอกพลับพลึงอันเวิ้ง ว้าง
เสียงร้องเพลงยังคงดังไม่ขาดสาย แต่คราวนี้มีเสียงสะอื้นปนด้วย ลมพัดวูบหอบความหนาวยะเยือกเข้ามาปะทะ
หญิงสาวต้องกอดอกเพื่อให้ตัวเองอบอุ่น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังใกล้เข้ามาทุกที
วิรงรองเริ่มหวาดกลัว เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นทางออก ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ ท้องฟ้าครืนๆอย่างไม่มีเค้ามาก่อนจากนั้นฝนเทกระหน่ำ
“พิชญ์...ช่วยพลับพลึงด้วย”
วิรงรอง
วิ่งหาทางออกท่ามกลางพายุฝนแต่ไม่เจอ เหนื่อยอ่อนแทบสิ้นเรี่ยวแรง เธอสะดุดเท้าตัวเองหกล้มด้วยความหวาดกลัวและเหนื่อยล้าเธอฟุบหน้ากับพื้น
ร้องไห้ มีใครบางคนเข้ามาช้อนตัวเธอขึ้นมากอด
“พลับพลึง...พลับพลึงยอดรัก”
หญิง สาวปรือตาขึ้นมอง
พบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของชายในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำสวมหมวกหลุบต่ำเนื่อง จากความมืดประกอบกับมีพายุพัด
ทำให้เห็นใบหน้าเขาไม่ชัด วิรงรองสะดุ้งเฮือกตกใจตื่น
เสียงฟ้าร้องครืนๆและฝนตกหนักอยู่ข้างนอก ช่างเหมือนในความฝันน่ากลัวเมื่อครู่ไม่มีผิดเพี้ยน
ooooooo
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น