วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อ่านเรื่องย่อละคร เรื่องโดมทอง ตอนที่ 8

อ่านเรื่องย่อละคร เรื่องโดมทอง ตอนที่ 8
เรื่องท่าทีที่เปลี่ยนไปของแสงแขถูกลานนานำไปขยายให้ภูไทกับพันธ์สูรย์ฟังอีกทอดหนึ่งแล้วถามความเห็นจากทั้งคู่ว่าดูแปลกๆ ไหม ภูไทไม่เห็นจะแปลกตรงไหน แต่พันธ์สูรย์กลับเห็นตรงกันข้าม ถ้าได้รู้จักตระกูล “ศิโรดม” ดี จะรู้ว่าเป็นตระกูลอำมหิตเป็นจอมวางแผน ที่ตนรู้เรื่องดีเพราะปู่กับพ่อของเขาเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน

“เล่ามาเลยค่ะ เล่าเลย เผื่อจะช่วยวิได้ทันเวลา พี่พันธ์สูรย์รู้อะไรเล่ามาให้หมดเลยค่ะ” ลานนาซัก

“ผมก็ฟังเขามาอีกทีเลยไม่อยากยืนยัน ต้องขอตัวก่อนนะครับ” พันธ์สูรย์ว่าแล้วลุกหนีไปหน้าตาเฉย ลานนามองตามด้วยความผิดหวัง...

ฝ่ายวิรงรองว่างจัดไม่รู้จะทำอะไรดี นึกถึงห้องเก็บของขึ้นมาได้ แอบไปสำรวจที่นั่นอีกครั้ง ยืนมองประตูห้องที่ล็อกกุญแจแน่นหนา คิดไม่ตก ทำอย่างไรถึงจะเข้าไปในนั้นได้ ตัดสินใจเดินไปดูที่รอยแตกจุดเดิมที่เคยแอบมอง ต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องตอบราวกับรอคอยเธออยู่ หญิงสาวกรีดร้องลั่น ผงะถอยหลังออกมาชนกับใครบางคน เธอร้องกรี๊ดๆ อีกครั้ง แล้วหันขวับไปมอง เห็นอดิศวร์ยืนจ้องอยู่

“ผีหลอกอีกล่ะสิ อยู่เฉยๆ ไม่เป็นบ้างหรืออย่างไร”

“ผะๆๆ...ผีค่ะ ผีจริงๆ เมื่อครู่มันจ้องฉัน ถ้าไม่เชื่อก็ดูสิคะ” วิรงรองละล่ำละลัก

อดิศวร์เข้าไปดูตรงรอยแยกตามที่เธอบอก ไม่เห็นอะไรนอกจากห้องเก่าฝุ่นเขรอะ ข้าวของเครื่องใช้ภายในนั้นมีผ้าดำคลุมไว้ ไม่มีผีสักตน ตั้งข้อสังเกตว่าถ้าวิรงรองไม่ได้โกหกก็ต้องมีปัญหาทางจิต เธอขี้เกียจเถียงด้วยหันหลังจะกลับ เขาคว้าตัวไว้ ในเมื่อเธอเองก็เป็นโรคจิต ส่วนเขาก็ถูกเธอกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตเช่นกัน ดังนั้นเราสองคนจึงเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง ราวกับผีเน่ากับโลงผุ วิรงรองไม่พอใจสั่งให้เขาปล่อย

“เธอนั่นแหละปล่อย...ปล่อยคุณพิชญ์ให้เป็นอิสระเสียที เขาจะได้ไปมีความสุขกับเมียของเขา...เรื่องที่ฉันพูดกับเธอเมื่อคืน เป็นอันว่าตกลงนะ เขาแต่งงานกันได้เราก็แต่งได้เหมือนกัน”

“ให้ฉันอยู่เป็นโสดไปจนตายดีกว่าจะต้องแต่งงานกับคุณ” วิรงรองผลักเขาเต็มแรง แล้ววิ่งหนี

อดิศวร์ขยับจะตาม แต่รู้สึกเหมือนมีใครแอบมองมาจากในห้องเก็บของ หันขวับไปมอง รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวในนั้นได้ จึงเดินไปส่องดูตรงรอยแตกอีกครั้งหนึ่งภายในห้องกลับเงียบสนิทไม่มีสิ่งผิดปกติ ทันทีที่เขาหันหลังกลับไป สายตาคู่นั้นมาแอบมองอดิศวร์ตรงรอยแยกจนกระทั่งเขาเดินลับตา...

ด้านวิรงรองก้าวฉับๆขึ้นบันไดพยายามจะหนีให้พ้นหน้าอดิศวร์ อุไรมาเห็นเข้าตกใจคิดว่าเธอวิ่งหนีผี รีบวิ่งตาม อารามทั้งกลัวทั้งรีบร้อนขาเข้าไปติดกับราวบันได หลับหูหลับตาร้องลั่น วิรงรองย้อนกลับมาถามว่าเป็นอะไร เธอโวยวายลั่นว่าผีจับขาไว้ ขอร้องให้ช่วยเธอด้วย วิรงรองบอกให้อุไรลืมตาขึ้นมาก่อน แต่เธอกลัวเกินกว่าจะดูไหว ยิ่งหลับตาปี๋

อดิศวร์ซึ่งตามเข้ามา เอ็ดตะโรลั่นให้อุไรลืมตาดูว่าเป็นอะไร เธอถึงได้ยอมลืมตา แม้จะเห็นว่าเท้าไปติดราวบันได อุไรก็ยังโทษว่าบันไดถูกผีสิงถึงได้จับขาตนเองไว้ อดิศวร์ได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ

ooooooo

คุณหญิงวัชรีและคุณหญิงแก้วรวมหัวกันเล่นงานวิรงรองตอนอยู่โดมทองไม่พอ ถึงกรุงเทพฯยังตามไปหาเรื่องปรางแม่ของเธอถึงบ้าน กล่าวหาว่าวิรงรองคิดจะแย่งพิชญ์ไปจากพิณทอง พอพลาดหวังก็หันไปจับอดิศวร์แทนที่ โชคดีที่เขาไม่เล่นด้วยเพราะมีแฟนอยู่แล้ว คราวนี้เลยจะหันมาจับสามีของคุณหญิงแก้วเป็นรายต่อไป

“ลูกสาวเธอคงจะหน้ามืดจริงๆ แปลกนะ...หน้าตาก็ดีอายุยังน้อยแต่ทำไมถึงได้ชอบเป็นมือที่สาม”

ปรางหมดความอดทนไล่ตะเพิดสองคุณหญิงออกจากบ้าน คุณหญิงวัชรีปากร้ายไม่เลิก ฝากเตือนไปถึงวิรงรองด้วยว่าให้หาผัวเป็นของตัวเองเสียที ตายไปจะได้ไม่ต้องไปปีนต้นงิ้ว แล้วพากันหัวเราะขบขัน ก่อนจะกลับไป ปรางโกรธแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ คว้าโทรศัพท์โทร.ไปเล่าเรื่องนี้ให้วิรงรองซึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ที่ทุ่งพลับพลึงฟัง แล้วชวนให้กลับมาอยู่บ้านของเราดีกว่าจะได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาทำงานให้เป็นเรื่องเป็นราว

“ถ้าหนูกลับไปก็เหมือนยอมแพ้ พวกนั้นจะยิ่งเยาะเย้ย...คุณคะ ขอเวลาหนูคิดสักวันสองวันก่อนนะคะ”

“ตามใจ แต่จำไว้ว่าคุณอยากให้หนูกลับบ้าน ขอร้องเถอะนะหนูนะ” ปรางอ้อนวอนจบ กดวางสาย

ครู่ต่อมา วิรงรองกลับถึงห้องพัก แปลกใจที่พบกระดาษโน้ตติดไว้ที่กระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มีข้อความว่า

“ถ้าอยากรู้เรื่องทั้งหมด ให้ไปพบกันที่ชายหาดตรงซากเรือ สองยามคืนนี้ ห้ามพาใครไปด้วย แต่ถ้ากลัวก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย” วิรงรองสีหน้าครุ่นคิด ไม่รู้จะทำอย่างไรดี...

ทางฝ่ายพิชญ์ไม่พอใจมากเมื่อรู้ว่าแม่ของเขากับคุณหญิงแก้วตามไปอาละวาดถึงบ้านแม่วิรงรอง ต่อว่าท่านว่าทำเหมือนในละครน้ำเน่าไม่มีผิดเพี้ยน คุณหญิงวัชรีเถียงว่าหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในละคร เจ้าของบทประพันธ์มักจะเอาเค้าโครงมาจากเรื่องจริงแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องมือที่สาม

“พลับพลึงไม่ใช่มือที่สาม”

“ขอให้มันจริงเถอะ...อ้าว นั่นจะไปไหน” คุณหญิงวัชรีเห็นลูกชายเดินหนีขึ้นห้องรีบเดินตาม...

พิณทองเองก็ไม่ชอบใจนักกับการกระทำของแม่ตัวเอง เพราะเห็นว่าเกินเลยมากไป คุณหญิงแก้วไม่เห็นจะมากไปตรงไหนในเมื่อแม่นั่นไล่ตามจับผู้ชายทีเดียวพร้อมกันสามคน พิณทองจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่คุณหญิงแก้วชิงห้ามพูดตัดหน้าเสียก่อน ปล่อยให้ท่านกับคุณหญิงป้าจัดการเรื่องนี้เอง

“หน้าที่ของลูกคือดูแลปรนนิบัติสามีให้ดีๆ อย่าให้ผู้หญิงคนไหนเข้ามาแทรกได้...ไปเตรียมตัวได้แล้วประเดี๋ยวตาพิชญ์จะมารับกลับ”

พิณทองยังไม่อยากกลับจะขออยู่ที่นี่สักพักหนึ่งก่อน คุณหญิงแก้วไม่ยอม สั่งให้ขึ้นไปเก็บข้าวของเตรียมไว้ ให้พิชญ์เห็นว่าลูกกระตือรือร้นอยากกลับบ้านกับเขา พิณทองได้แต่ถอนใจ หนักใจ...

พิชญ์เองก็ถูกคุณหญิงวัชรีบังคับ ซ้ำยังข่มขู่ถ้ายังคิดว่าเธอเป็นแม่ของเขาอยู่ ให้ไปรับพิณทองกลับมาอยู่บ้านของเรา ไม่นานนัก พิชญ์มารับพิณทองที่บ้านคุณหญิงแก้ว ทีแรกเธอทำท่าจะไม่ยอมกลับ เขาต้องขอร้องอยู่พักใหญ่ เธอจึงยอมทำตามที่เขาต้องการ...

ทันทีที่เห็นพิณทองก้าวเข้าบ้าน คุณหญิงวัชรีโผกอดด้วยความโล่งใจ แล้วหันไปค้อนลูกชายหนึ่งวง ก่อนจะบอกพิณทองว่า ถ้าพิชญ์ทำอะไรให้เธอเสียใจอีกก็ขอให้บอก ตนจะจัดการให้เอง

“ขึ้นไปพักผ่อนเถอะลูก...พิชญ์ พาน้องไปสิ” คุณหญิงวัชรีสั่งเสียงเฉียบ พิชญ์ยื่นมือให้พิณทองซึ่งจำใจจับ แล้วพากันขึ้นข้างบน คุณหญิงวัชรีถอนหายใจยาวโล่งอก รีบโทร.รายงานเพื่อนรักเพื่อนซี้ทันที

ooooooo

เมื่อได้อยู่กันตามลำพังในห้อง พิณทองดึงมือพิชญ์ออก แล้วถามว่าเราสองคนจะต้องอยู่ในสภาพนี้อีกนานแค่ไหน ต้องเล่นละครตบตาผู้ใหญ่ไปถึงเมื่อไหร่ พิชญ์เองก็ตอบไม่ได้ ตกกระไดพลอยโจนไปแล้วก็คงต้อง ปล่อยเลยตามเลย พิณทองแนะว่ายังไม่สายเกินไปถ้าเราสองคนคิดจะหย่ากัน  เธอจะพูดกับพ่อแม่ของเธอเอง

“เป็นผู้ใหญ่หน่อยสิพิณ”

“พิณไม่เคยเป็นผู้ใหญ่เท่านี้มาก่อนเลย พิณใคร่ครวญทุกอย่างรอบคอบแล้ว คิดว่าการหย่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเรา คุณเองก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตของคุณ ไปหาคนที่คุณรัก”

“ถามจริง คุณพร้อมที่จะใช้คำว่าแม่ม่ายหย่าผัวทั้งๆที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่กี่เดือนแล้วหรือ”

พิณทองพร้อมรับผลพวงที่จะตามมา แต่พิชญ์กลับคิดว่าผู้ใหญ่ของเราสองคนคงยังไม่พร้อม เธออ้าปากจะเถียงแต่เขาขัดขึ้นเสียก่อนว่า เขาเพิ่งรับปากกับแม่ของเขาว่าจะพยายามประคับประคองชีวิตแต่งงานของเราให้ดีที่สุด เธอเองก็คงเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราสองคนคงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อพิสูจน์ให้พวกท่านเห็นว่าเราไปกันไม่ได้จริงๆ แล้วค่อยคุยกันเรื่องหย่า พิณทองนิ่งอึ้งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ...

ดึกคืนเดียวกัน วิรงรองในชุดรัดกุมเหลือบดูนาฬิกาข้อมือเห็นใกล้ถึงสองยามตามนัด หยิบจดหมายใส่กระเป๋ากางเกง คว้าไฟฉายออกจากห้อง ค่อยๆย่องลงบันไดตรงไปยังประตูหน้า ก่อนจะไขกุญแจออกไป แสงแขซึ่งยืนดูอยู่ในมุมมืด มองตามเธอด้วยสายตาเหี้ยมโหด...

ระหว่างทางวิรงรองโชคดี เจอรถจักรยานของคนงานจอดพิงต้นไม้อยู่ รีบขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว...

กว่าวิรงรองจะรู้ตัวว่านี่เป็นแผนลวงก็เป็นตอนที่เจออ๊อดกับสมุนดักรออยู่ตรงจุดนัดพบ สองชายโฉดพยายามจะฉุดเธอไปทำมิดีมิร้าย วิรงรองสู้สุดฤทธิ์กำทรายสาดใส่หน้าพวกนั้นแล้ววิ่งหนี อารามรีบร้อนสะดุดขาตัวเองล้มขาแพลง พวกคนร้ายจึงไล่ตามทัน ล้อมเธอไว้ไม่ยอมให้หนี

“ไม่มีทางไปแล้วนอกจากลงทะเลไปเลย” อ๊อดหัวเราะชอบใจ

วิรงรองยอมตายดีกว่าจะถูกข่มขืน ตัดสินใจหนีลงทะเลซึ่งคลื่นลมจัด อ๊อดตกใจร้องเรียกให้ขึ้นมาเสียงลั่น หญิงสาวไม่สนใจยังคงถอยลงไปในทะเลท่ามกลางคลื่นสูงที่ถาโถมเข้าใส่ แล้วหลับตาตั้งจิตอธิษฐานถึงแม่

“คุณขา...หนูขอโทษนะคะที่ต้องทำอย่างนี้”

คลื่นใหญ่ซัดเข้ามาจนวิรงรองเสียหลักจมน้ำ พอตั้งสติได้พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาหายใจ อ๊อดกับสมุนยืนมองอยู่บนฝั่งไม่กล้าตามไปเอาตัวเพราะคลื่นแรงมาก ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าม้าดังก้องเข้ามา สองชายโฉดเหลียวหาที่มาของเสียง กลับพบแต่ความว่างเปล่า สมุนใจคอไม่ดีละล่ำละลักถามลูกพี่

“ม้าผีหรือเปล่าพี่”

ขาดคำ ชายในชุดเสื้อคลุมสีดำบนหลังม้าปรากฏตัวขึ้น ม้ายกขาตะกุยราวกับจะทำร้ายอ๊อดกับสมุนให้แหลกคาเท้า ท่านเจ้าคุณบังคับม้าให้หยุดพยศแล้วก้มหน้าลงมาใกล้  แม้จะไม่ใช่คืนพระจันทร์เต็มดวงแต่ก็มีแสงมากพอจะทำให้เห็นใบหน้าที่เหลือแต่กระดูก ชายโฉดทั้งสองคนร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ท่านเจ้าคุณรีบลงไปในทะเลฉุดร่างสิ้นเรี่ยวแรงของวิรงรองขึ้นมาบนฝั่งได้ทันก่อนจะจมน้ำตาย หญิงสาวที่สติรางเลือนเต็มทีปรือตามองเห็นเค้าหน้าว่าเป็นอดิศวร์ ก่อนสติจะหลุดลอย...

ooooooo

ขณะที่วิรงรองรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดอดิศวร์สะดุ้งตื่นจากฝัน นึกเป็นห่วงวิรงรองขึ้นมา ผลุนผลันออกมาเคาะประตูเรียก เงียบกริบไม่มีเสียงขานตอบ

เขาร้อนใจมากลองจับลูกบิดประตูหมุนดู แปลกใจที่ไม่ได้ล็อก เปิดเข้าไปในห้องกลับพบแต่ความว่างเปล่า รีบออกตามหาวิรงรองทันที...

ผ่านไปไม่นานนัก วิรงรองรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมอง คิดว่าอดิศวร์มาช่วยชีวิตไว้ มองไปรอบๆกลับไม่พบ ใคร เธอพยายามยันตัวลุกขึ้น ลมแรงทำให้หนาวสะท้านจนตัวสั่น เธอกัดฟันรวบรวมกำลังกลับไปขึ้นรถจักรยานที่จอดทิ้งไว้ เหลียวมองหาอดิศวร์อีกครั้ง ก่อนจะปั่นจักรยานออกไป

ระหว่างทางกลับคฤหาสน์ ปรากฏแสงไฟจากรถ คันหนึ่งส่องมาทางด้านหลัง วิรงรองออกแรงปั่นจักรยาน ให้เร็วขึ้นอีก เพราะคิดว่าเป็นคนร้าย ด้วยความรีบร้อนทำรถล้ม อดิศวร์รีบจอดรถลงมาดู พอเห็นเธอไม่เป็นอะไรตำหนิเสียงลั่นว่าดึกป่านนี้นึกอย่างไรถึงมาขี่จักรยานเล่น เธอเจ็บใจมากต่อว่ากลับว่านี่เป็นแผนของเขาใช่ไหม

“แผนบ้าแผนบออะไรอีกล่ะ” อดิศวร์บ่นอุบ วิรงรองพยายามจะยันตัวลุกขึ้น แต่กลับทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างเดิมเพราะข้อเท้าเริ่มระบม

“ไหวหรือเปล่า” อดิศวร์ถามอย่างอ่อนโยน

วิรงรองเชิดหน้าตอบชัดถ้อยชัดคำว่าไหวแต่พอทิ้งน้ำหนักลงที่เท้าต้องทรุดลงไปนั่งอีกครั้ง อดิศวร์มองคนดื้อรั้น อย่างเคืองๆก่อนจะอุ้มเธอไปที่รถ แล้วขับออกไป ระหว่างนั้น เขาอดถามไม่ได้ว่านึกอย่างไรถึงได้ออกไปว่ายน้ำเกือบจะตีสองแบบนี้ เธอควักกระดาษโน้ตจะส่งให้ แต่มันเปียกน้ำหลุดลุ่ยเหลือเพียงซาก

“จดหมายนี่มีคนเขียนนัดดิฉันให้ไปพบที่ซากเรือ”

อดิศวร์ตำหนิอีกครั้งหนึ่งว่าจะไปที่นั่นทำไม ทั้งมืดทั้งเปลี่ยว วิรงรองจ้องหน้าเขาอย่างจับพิรุธถามเสียงเครียดว่าทั้งหมดนี่เป็นแผนการของเขาใช่ไหม รวมทั้งเรื่องโน้ตแผ่นนี้ด้วย

“อ้าว...เลยโทษฉันดื้อๆฉันจะทำอย่างนั้นทำไม”

วิรงรองมั่นใจว่าเขาต้องการทำให้เธอกลัว แล้วด่าเขาว่าเป็นพวกโรคจิต อดิศวร์ชำเลืองมองเธอ แวบหนึ่งขับรถต่อไปไม่พูดอะไรอีก ไม่นานนัก ทั้งคู่กลับถึงโดมทอง อดิศวร์ก้าวขึ้นบันไดอย่างไม่เร่งรีบ โดยไม่พูดไม่จาสักคำ วิรงรองทนไม่ไหวต้องการจะรู้ให้ได้ว่าเขาทำแบบนี้เพื่ออะไร เขากลับนิ่งไม่ตอบ เดินเรื่อยๆไปยังห้องตัวเองวิรงรองโวยวายว่าที่เขาไม่ตอบเพราะไม่กล้าพอจะยอมรับความจริงใช่ไหม

“คนอย่างฉันถ้ากล้าทำก็ต้องกล้ารับ แต่ฉันไม่ รู้เรื่องอะไรด้วย”

“แล้วทำไมดิฉันถึงเห็นคุณดึงดิฉันขึ้นจากน้ำ รับรองว่าดิฉันตาไม่ฝาดแน่”

“นั่นเธอต้องถามตัวเองว่าทำไมถึงเห็นใครต่อใครเป็นฉันไปหมด” อดิศวร์ยิ้มยั่ว “เธอต่างหากที่ต้องตอบคำถามฉัน เธอสร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมาทำไม”

วิรงรองปฏิเสธทันควันว่าไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นเอง แล้วด่าเขาว่าไม่ใช่ลูกผู้ชายไหนว่ากล้าทำก็กล้ารับ แล้วนี่ทำไมไม่ยอมรับ แถมยังหน้าด้านมาโกหกอีก อดิศวร์ไม่พอใจบีบแขนวิรงรองไว้เต็มแรง ยืนยันว่าไม่ได้ โกหกเธอต้องการจะรู้ให้ได้ คาดคั้นให้เขาตอบ อดิศวร์กลับ บอกให้เธอไปถามพวกเพื่อนผีของเธอเอาเอง แล้วเดินเข้าห้องปิดประตูลงกลอน วิรงรองมองตามอย่างเจ็บแค้นใจ

ooooooo

อดิศวร์นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนตอนที่ฝันเห็นวิรงรองกำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่างด้วยท่าทางตื่นกลัวอยู่ริมชายหาด แต่เขาสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกเหมือนมีมือเย็นเฉียบของใครบางคนมาจับที่แขน ความรู้สึกเย็นยะเยือกนั้นยังคงอยู่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้น จากนั้นภาพ

วิรงรองที่ต่อว่าเขาเมื่อคืนผุดตามขึ้นมาในห้วงความคิด

“แล้วทำไมดิฉันถึงเห็นคุณดึงดิฉันขึ้นจากน้ำ รับรองว่าดิฉันตาไม่ฝาดแน่”

ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่...

ณ สวนเงียบสงบ แสงแขถึงกับหงุดหงิดเมื่อรู้จากโอบว่าแผนฉุดวิรงรองไปข่มขืนพังไม่เป็นท่า อ๊อดอ้างว่ามีผีผู้ชายไม่มีหน้ามีแต่กะโหลกขี่ม้ามาช่วยเสียก่อน แสงแขไม่เชื่อเรื่องผี หาว่าอ๊อดกุขึ้นมาเองเพราะคิดจะเบี้ยวเธอ โอบแก้ตัวแทนพี่ชายว่าเป็นโจรมีสัจจะไม่มีวันทำเช่นนั้น แสงแขเคยได้ยินแต่คำว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร

“ถ้าอย่างนั้น คุณแขไปถามเขาดูเองดีไหมคะ โอบก็อยากรู้รายละเอียดเหมือนกัน”

แสงแขไม่พูดอะไรอีก เดินเข้าตึกใหญ่ เจออุษาอยู่แถวนั้นพอดี จึงถามว่าวิรงรองยังไม่ลงมาอีกหรือ เห็นทุกครั้งลงมาแต่เช้า เธออ้างว่าอดิศวร์สั่งไม่ให้ปลุกเมื่อคืนวิรงรองนอนดึก แสงแขแปลกใจเขารู้ได้อย่างไร อุษารำคาญไล่ให้ไปถามอดิศวร์เอาเอง แล้วเดินหนีเข้าครัว ทิ้งให้แสงแขยืนหงุดหงิดอยู่ตรงนั้น...

ครู่ต่อมา ยัยตัวแสบประจำบ้านเข้าไปรายงานแผนการที่ล้มเหลวให้ท่านผู้หญิงสรรักษ์ทราบ

ท่านถึงกับปรี๊ดแตก “นังหน้าโง่ เรื่องแค่นี้ทำไม่สำเร็จก็ไปตายเสียเถอะ...แกไม่อยากได้ตาลบแล้วใช่ไหม”

“อยากค่ะแขรักคุณลบ...นายอ๊อดบอกว่ามีผู้ชายขี่ม้าหน้าตาเป็นกะโหลกผีมาช่วยมันค่ะ”

“ทำไมไม่ไปผุดไปเกิดเสียที หรือว่าจะรอนังพลับพลึง...ต่อให้ฉันตายไป ฉันก็จะตามขัดขวางแกสองคน

ในต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตกนรกหมกไหม้” นัยน์ตาท่านผู้หญิงสรรักษ์เป็นประกายกร้าวขึ้นมาทันที แสงแข มองงงๆ ไม่เข้าใจว่าคุณย่าหมายถึงใคร ท่านผู้หญิงหมายถึงท่านเจ้าคุณสรรักษ์กับนังพลับพลึงเมียน้อยของท่านเจ้าคุณ ใครที่บังอาจทรยศเธอ จะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม แล้วหัวเราะราวกับคนคลุ้มคลั่ง

สักพัก ท่านก็หยุดหัวเราะ ค่อยๆ เลื่อนตัวลงนอนหันหลังให้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัดพ้อต่อว่าท่านเจ้าคุณว่าไม่เคยดูดำดูดีตน เอาแต่ตามหานังพลับพลึงจนแทบพลิกแผ่นดิน แล้วอยู่ๆท่านก็พลิกตัวหันกลับมา ถามแสงแขเสียงกร้าวรู้ไหมว่านังพลับพลึงอยู่ที่ไหน หญิงสาวไม่ทันตั้งตัวถึงกับสะดุ้งโหยง
จังหวะนั้น อดิศวร์เปิดประตูเข้ามาเห็นคุณย่าน้ำตานองหน้าถามว่าร้องไห้เรื่องอะไร ท่านปฏิเสธหน้าตาเฉย ว่าเปล่า แล้ววานเขาช่วยเข็นรถเข็นพาท่านออกไปข้างนอก อดิศวร์นิ่วหน้าแปลกใจ

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ธรรมดาคุณย่าไม่ค่อยอยากจะออกไปจากห้องนี้”

“ย่าอยากไปดูโรงเก็บรถม้า” ท่านผู้หญิงสรรักษ์สีหน้ามุ่งมั่นขณะที่อดิศวร์ยังแปลกใจไม่หาย

ooooooo

เมื่อได้ฟังเรื่องราวแปลกประหลาดจากวิรงรอง อุษานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“พี่รู้ว่าคุณวิไม่ได้โกหก แต่มันก็ยากที่จะเป็นไปได้ แล้วพี่ก็มั่นใจว่าคุณลบจะไม่มีวันทำอย่างนั้นเด็ดขาด”

วิรงรองยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด ทั้งสองครั้งที่เห็น อดิศวร์จะแต่งชุดแบบโบราณชุดเดียวกัน และในเมื่อเขาไม่มีพี่น้องฝาแฝดที่ไหน แสดงว่าคนที่เธอเห็นต้องเป็นผีแน่ๆ อุษาสงสัยว่าผีใคร วิรงรองโพล่งทันทีว่า

“ผีท่านเจ้าคุณ”

อุษาไม่คิดว่าใช่คุณปู่ ป่านนี้ท่านน่าจะไปเกิดแล้ว วิรงรองอยากเห็นรูปท่านเจ้าคุณมาก อุษาพอจะหารูปให้เธอได้ไหม เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ
“พี่อุษาไม่นึกแปลกใจบ้างหรือที่ในโดมทองมีรูปของบรรพบุรุษของตระกูลทุกคน ยกเว้นท่านเจ้าคุณกับคุณพลับพลึง” วิรงรองมองอย่างรอคำตอบ อุษากลับนิ่งเงียบไม่ยอมออกความเห็น...

ทันทีที่นายสมเปิดประตูโรงเก็บรถม้าซึ่งถูกปิดตายออก เผยให้เห็นสภาพภายในที่เก่าทรุดโทรมไปตามกาลเวลา อดิศวร์เข็นรถเข็นที่ท่านผู้หญิงสรรักษ์นั่งมาหยุดแค่ประตูทางเข้า ไม่อยากให้เข้าไปใกล้มากกว่านี้ ฝุ่นหนาเตอะเหล่านี้อาจทำให้ท่านไม่สบายได้ ท่านผู้หญิงสรรักษ์ตาวาวอย่างมีเลศนัยขึ้นมาอึดใจหนึ่ง

“ขนาดมีชีวิตอยู่ยังทำอะไรย่าไม่ได้ นับประสาอะไรกับเถ้าธุลีของมัน”

อดิศวร์อดถามไม่ได้ว่าท่านหมายถึงใคร ท่านผู้หญิงสรรักษ์ไม่ตอบ ก้มหน้ามองไปที่พื้น พึมพำว่า

“ใครที่มันทำกับย่า ทำให้ย่าต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน แม้แต่ดวงวิญญาณของมันก็จะไม่มีวันสงบสุข”

ขณะที่ท่านพูดอยู่นั้น คานไม้ที่อยู่เหนือศีรษะค่อยๆ ขยับ อดิศวร์เงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดี กระชากรถเข็นหลบจนเสียหลักล้มทั้งรถทั้งคน ท่อนไม้ตกเฉียดท่านผู้หญิงสรรักษ์ไปเส้นยาแดงผ่าแปด...

ในเวลาต่อมา อดิศวร์อุ้มคุณย่าที่มีเพียงรอยฟกซ้ำเล็กน้อยกลับมาที่ห้องของท่าน ท่านผู้หญิงสรรักษ์หาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นฝีมือของท่านเจ้าคุณสรรักษ์ที่พยายามจะฆ่าท่านเพราะความเกลียดชัง อดิศรว์กลับเห็นว่าเป็นแค่อุบัติเหตุธรรมดา เพราะไม้ทั้งเก่าทั้งผุ ท่านผู้หญิงเอ็ดลั่นว่าไม่ต้องมาแก้ตัวแทนท่านเจ้าคุณ ท่านรู้จักนิสัยเขาดี อดิศวร์ไม่อยากเห็นคุณย่าเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรีบเปลี่ยนเรื่องพูด

“คุณย่าเช็ดตัวหน่อยนะครับ ผมจะไปตามอุษาเข้ามา” อดิศวร์ว่าแล้วลุกออกไป

ooooooo

วิรงรองรำคาญที่แสงแขตามมาระรานถึงห้องพัก และยังเตือนไม่ให้เธอไปยุ่งกับอดิศวร์ว่าที่เจ้าบ่าวของตน ทั้งๆที่วันก่อนยังมาพูดจาดีด้วย ทันทีที่แสงแข กลับไป วิรงรอง โทร.เรียกลานนาให้มารับและนัดเจอกันหน้าประตูรั้วที่เดิม แล้วลงไปบอกอดิศวร์ว่าจะไปบ้านลานนา อีกสักครู่เธอจะมารับ

“แล้วจะต้องมาขออนุญาตฉันทำไม เมื่อเธอจัดการทุกอย่างเองเรียบร้อยแล้ว”

“ไม่ได้มาขออนุญาตค่ะ แต่มาแจ้งให้ทราบในฐานะที่คุณเป็นนายจ้าง”

อดิศวร์แกล้งพูดยั่วประสาทต่างๆนานาจนวิรงรองโกรธเดินสะบัดออกไป เขาขยับจะตามมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน ปราง โทร.มาหามีเรื่องสำคัญจะต้องทำความเข้าใจกับเขา อดิศวร์หน้าเครียดขึ้นมาทันที...

ทางฝ่ายลานนาเห็นเพื่อนรักมีสีหน้าท่าทางไม่ค่อย สบายใจนัก แนะให้ขนข้าวของออกจากโดมทองแล้วมาอยู่กับเธอที่คุ้มภูไทแทน จะทรมานตัวเองอยู่ที่นั่นต่อไปทำไม วิรงรองจำเป็นต้องอยู่ที่โดมทองต่อไปจนกว่าจะรู้ ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ภูไทเตือนว่าได้ไม่คุ้มเสีย

“สำหรับวิแล้วคุ้มค่ะ วิไม่อยากสงสัยคลางแคลงใจไปจนตลอดชีวิต”

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับวินี่” ลานนาทักท้วง

“ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าโชคชะตาพาฉันมาที่โดมทอง มีบางสิ่งบางอย่างรอฉันอยู่” วิรงรองอดหวั่นใจ ไม่ได้เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่รอเธออยู่...

ภูไทอดเป็นห่วงวิรงรองไม่ได้ บ่นให้พันธ์สูรย์ฟังว่าไม่เข้าใจจริงๆ เธอต้องทนอยู่โดมทองทำไมหรือเป็นเพราะอดิศวร์ที่ทำให้เธอไม่อาจไปไหนได้ พันธ์สูรย์แนะถ้าภูไทอยากจะรู้เหตุผลก็ไปถามวิรงรองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า ภูไทก็อยากทำเหมือนกัน แต่ไม่กล้า...

ด้านลานนาถึงกับขนลุกซู่เมื่อได้ฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวิรงรองเมื่อคืน ถามย้ำว่าแน่ใจหรือว่าเป็นอดิศวร์ วิรงรองมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ นอกจากเขาจะมีพี่น้องฝาแฝดซึ่งเขาไม่มี ลานนาแปลกใจไม่หายทำไมผีตนนั้นถึงได้มีหน้าตาละม้ายคล้ายอดิศวร์นัก วิรงรองโพล่งขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว

“เพราะเป็นคุณปู่ของคุณอดิศวร์...ลานนา...ไม่รู้ฉันพูดออกไปได้อย่างไร แปลกจัง...แต่เป็นไปได้นะ ฉันได้ยินมาว่าส่วนหนึ่งที่ท่านผู้หญิงรักและหวงหลานชายมากเพราะเขาหน้าตาเหมือนสามีท่าน”

ลานนาตั้งข้อสังเกต ถึงให้เหมือนมากแค่ไหนก็ไม่น่าจะเหมือนราวกับเป็นคนคนเดียวกัน วิรงรองยังไม่ตัดประเด็นที่ว่าอดิศวร์อาจเป็นพวกโรคจิต ที่
ดึกๆดื่นๆ ลุกขึ้นแต่งตัวเหมือนคุณปู่ตัวเองเที่ยวหลอกคนอื่นให้เข้าใจผิด และเพื่อให้เรื่องนี้กระจ่าง เธอจะต้องหารูปท่านเจ้าคุณให้ได้ ลานนาขอร้องอย่าไปยุ่งเกี่ยวจะดีกว่า

“บอกแล้วไงว่าโชคชะตาพาฉันไปที่นั่น ฉันจะต้องรู้ความลับของโดมทองให้ได้” วิรงรองสีหน้ามุ่งมั่น...

แสงแขพยายามเอาอกเอาใจอดิศวร์สารพัด แต่ดูเหมือนไร้ประโยชน์ เขายังคงไม่มีทีท่าจะสนใจเธอไปในทางชู้สาว แถมยังคอยสอบถามตลอดว่าวิรงรอง กลับจากคุ้มภูไทหรือยัง ยิ่งทำให้แสงแขเจ็บแค้นใจ

ooooooo
ในที่สุดพันธ์สูรย์ก็มีโอกาสได้อยู่ตามลำพังกับวิรงรอง จึงเตือนให้รีบออกจากโดมทอง ที่นั่นมีแต่อันตรายรอบด้าน เธอขอบใจเขามากสำหรับความห่วงใย แต่เธอต้องอยู่ที่นั่นเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง

“พูดไปคุณพันธ์สูรย์อาจจะไม่เชื่อ วิเคยฝันถึงโดมทองก่อนที่จะมาถึงเสียอีก แล้วก็เหมือนกันทุกอย่างทั้งๆที่วิไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อมาก่อน นอกจากบ้านแล้วยังมีใครอีกคนหนึ่งที่วิเคยคิดว่าเป็นคุณอดิศวร์”

“ท่านเจ้าคุณ” พันธ์สูรย์พึมพำ วิรงรองแปลกใจ เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอหมายถึงท่านเจ้าคุณสรรักษ์ พันธ์สูรย์อ้างว่าพ่อของเขาซึ่งตายไปแล้วเคยเล่าให้ฟังว่าท่านถึงกับตกใจตอนที่เห็นอดิศวร์ครั้งแรกซึ่งขณะนั้นยังเป็นวัยรุ่น แล้วเตือนวิรงรองอีกครั้งหนึ่งให้รีบออกจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด

“ไม่ค่ะ ยิ่งรู้อย่างนี้ วิยิ่งต้องอยู่ต่อ แล้ว...เอ่อ...

คุณพ่อคุณพันธ์สูรย์เล่าอะไรอีกหรือเปล่าคะ”

ชายหนุ่มขยับปากเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่แล้วเปลี่ยนใจ อ้างว่ามีเท่าที่เล่าให้ฟัง...

กว่าวิรงรองจะกลับโดมทองก็เย็นมากแล้ว นายสมซึ่งรอเปิดประตูรั้วให้รีบเดินนำเธอไปพบอดิศวร์ซึ่งรออยู่ที่สวนหลังคฤหาสน์ หลังจากกระแนะกระแหนที่เธอหนีไปเที่ยวคุ้มภูไทพอหอมปากหอมคอ เขาพูดเข้าประเด็นสำคัญว่าเธอจะให้คำตอบได้หรือยัง เรื่องแต่งงานกับเขา หรือว่ายังคิดว่าเขาพูดเล่นอยู่อีก วิรงรองไม่ตอบขยับจะเดินเข้าตัวตึก อดิศวร์ขวางไว้ ประชดประชันว่าที่ไม่ตอบตกลงเพราะยังรักพิชญ์มากจนตัดใจไม่ได้ใช่ไหม

“ดิฉันควรจะเข้าบ้านเสียที มาถึงตั้งนานแล้วไม่อยากให้คุณแสงแขเข้าใจผิด”

“เหลวไหล ไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้าง ตอบมาคำเดียวได้หรือไม่ได้เท่านั้น”

“คุณคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆหรือคะ ถ้าคุณคิดจะรับผิดชอบกับ...เอ่อ...เรื่องนั้น ก็ขอบอกว่าไม่จำเป็น” วิรงรองนึกถึงภาพตอนที่อดิศวร์ทั้งกอดทั้งจูบเธอขึ้นมา ในห้วงความคิด รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า รีบขอตัวเข้าบ้านแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินจากไปทันที...

ฝ่ายท่านผู้หญิงสรรักษ์วางแผนจะจับอดิศวร์แต่งงานกับแสงแขให้ได้ จึงเรียกทั้งคู่กับอุษามาพบที่ห้อง

“ย่าจะจัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีกับลูกสาวแม่แก้ว ที่ผ่านมา ดูเหมือนย่าจะเป็นเจ้าของบ้านที่ใช้ไม่ได้ ไม่สนใจไยดีลูกหลานที่อุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนเลยสักนิด ย่าเสียใจจริงๆนะลบ”

“ไม่มีใครว่าคุณย่าเลยครับ ทุกคนทราบว่าคุณย่าไม่ชอบความวุ่นวาย อีกอย่างหนึ่งสุขภาพของคุณย่าก็ไม่ค่อยดี” อดิศวร์จับมือท่านมากุมไว้ด้วยความรัก ท่านผู้หญิงสรรักษ์คุยว่าตัวเองยังแข็งแรง แล้วบอกหลานชายให้ไปจัดการเชิญทุกคนกลับมา และให้ชวนเพื่อนๆของเขามาด้วยเชิญมากันให้มากๆ โดมทองว่างเว้นจากการมีงานเลี้ยงใหญ่มานานแล้ว อดิศวร์เห็นว่าไม่จำเป็นต้องจัดงานให้ยุ่งยาก

“จำเป็นสิ จำเป็นมาก ลบไปจัดการให้ย่าหน่อยนะ” ท่านผู้หญิงสรรักษ์ท่าทางกระตือรือร้นมาก จนอดิศวร์อดประหลาดใจไม่ได้ หลังจากหลานชายสุดรักสุดห่วงออกจากห้องไปแล้ว ท่านผู้หญิงสรรักษ์กำชับกับอุษาและแสงแขให้ช่วยกันจัดงานครั้งนี้ให้ยิ่งใหญ่และประทับใจที่สุดต้องมีเต้นรำ ทุกคนที่มาต้องแต่งตัวสวยงามโดยเฉพาะแสงแข แล้วยกหน้าที่เรื่องการแต่งตัวของแสงแขให้อุษาไปดูแล

“แต่ว่า...อุษาไม่ถนัดเรื่องพวกนี้”

“นังโง่ ไม่ถนัดก็ไปจ้างเขาสิ ฉันจะออกค่าใช้จ่าย ให้ เอาให้สวยที่สุด สวยกว่าใครๆโดยเฉพาะนังพลับพลึง ตาลบจะได้ไม่มีสายตาสำหรับมองมันหรือใครเลยนอกจากนังแสงแข ฉันจะประกาศหมั้นตาลบกับแกในวันนั้น ส่วนแกนังอุษา...ไปบอกนังพลับพลึงว่าฉันห้ามออกมาร่วมงานเด็ดขาด”

“พี่อุษาใจอ่อน ให้แขไปบอกเองดีกว่าค่ะ” แสงแขว่าแล้วก้มกราบแทบเท้าคุณย่าประมาณจะฝากเนื้อฝากตัว ท่านชักเท้าหลบ ไม่ได้รู้สึกชื่นชมว่าที่สะใภ้แม้แต่น้อย แล้วไล่ตะเพิดสองพี่น้องออกจากห้อง

“ถ้านังพลับพลึงไม่แทรกเข้ามา อย่าหวังเลยว่าฉันจะยกตาลบให้แก นังแสงแข”

ooooooo

หลังจากตามหาอยู่พักใหญ่ถึงได้รู้ว่าวิรงรองอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ แสงแขเดินนวยนาดเข้ามาวางท่าราวกับเป็นเจ้าของบ้าน วิรงรองไม่อยากยุ่งด้วยขยับจะไป แต่เธอรั้งไว้

“เดี๋ยวก่อน...คุณย่าจะจัดให้มีงานเลี้ยงใหญ่ในโดมทอง ซึ่งจะพูดให้ชัดๆว่าเป็นงานประกาศหมั้นของฉันกับคุณลบ” แสงแขฉีกยิ้มอย่างผู้ชนะ เมื่อเห็นแววตาของวิรงรองฉายแววผิดปกติขึ้นมาแวบหนึ่ง “ผิดหวังล่ะสิ”

“ทำไมฉันถึงจะต้องผิดหวังล่ะคะ”

“เพราะแกแอบหวังลึกๆว่าแกจะได้เป็นคุณผู้หญิงของโดมทอง”

วิรงรองไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นอยู่ในสมอง แสงแขขอให้จริงอย่างปากว่า แล้วนึกขึ้นได้ว่าคุณย่าสั่งห้ามวิรงรองมาเสนอหน้าในงานเด็ดขาด เธอขอให้แสงแขสบายใจได้รับรองจะไม่มาให้เห็นแน่นอน

จากนั้นวิรงรองกลับห้องพัก ปิดประตูล็อกกลอน ทรุดตัวลงนั่งพิงผนังห้องด้วยน้ำตาคลอเบ้า

“คนหลอกลวง จะหมั้นกับคุณแสงแขอยู่แล้วยังจะมาขอฉันแต่งงานอีก” เธอปาดน้ำตาทิ้งแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางจะเก็บข้าวของกลับกรุงเทพฯ แต่แล้วเกิดเปลี่ยนใจ ถ้ากลับตอนนี้ ทุกคนต้องหัวเราะเยาะเธอแน่นอนโดยเฉพาะผู้ชายใจร้ายคนนั้น เธอต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเธอไม่แคร์ แล้วเก็บกระเป๋ากลับที่เดิม...

ขณะที่อดิศวร์ยังแปลกใจไม่หายที่อยู่ๆคุณย่า

เกิดอยากจะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่โดมทอง ปรางโทร.แจ้งว่ามา ถึงแล้ว ตอนนี้กำลังเช็กอินเข้าพักโรงแรมในเมือง ขอให้เขามาพบด้วย ผ่านไปไม่นาน อดิศวร์มาถึงล็อบบี้โรงแรมตามนัดเห็นปรางนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอไม่พูดพล่ามบอกเขาว่าจะมารับวิรงรองกลับ ชายหนุ่มชะงัก

“ก็วันนั้น ผมเรียนคุณน้าไปแล้ว”

“น้าเองก็คุยกับยัยหนูแล้วเหมือนกัน แกยืนยัน

ว่าแกมีเหตุผลที่จะอยู่โดมทองต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง 

แต่น้านอนไม่หลับเป็นห่วงแล้วก็สงสารลูก ที่มานี่ก็เพราะจะให้คุณพาไปโดมทอง ถ้าน้าไปรับถึงที่นั่นแกก็คงยอมกลับ”

อดิศวร์เกลี้ยกล่อมปรางอยู่นานสองนานกว่าจะยอมให้วิรงรองอยู่ต่อไป โดยเขาสัญญาว่าจะไม่ให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธออีก ส่วนเรื่องที่ญาติผู้พี่ของเขาตามไปอาละวาดถึงบ้านก็จะไม่ให้เกิดซ้ำสองเช่นกัน แล้วเชิญเธอไปเที่ยวโดมทองจะได้เจอวิรงรอง...

ทันทีที่พบแม่ วิรงรองดีใจน้ำตาไหลพราก สองแม่ลูกโผกอดกันกลมด้วยความรักและคิดถึง วิรงรองแปลกใจ

แม่มาที่นี่ได้อย่างไร ได้ความว่าอดิศวร์รู้ว่าปรางคิดถึงลูก มากเลยจัดการให้ทุกอย่าง วิรงรองขอบคุณเขาที่ช่วยเป็นธุระเรื่องแม่ให้ อดิศวร์พยักหน้ารับรู้ แล้วปล่อยให้สองแม่ลูกได้พูดคุยตามลำพัง

วิรงรองบ่นไม่หยุดว่าคิดถึงแม่มาก ปรางได้ทีตัดพ้อ ถ้าคิดถึงแล้วทำไมไม่กลับบ้านเรา เธอไม่อยากให้ใครมากล่าวหาว่าเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เพิ่งมาทำงานได้ไม่นานก็จะลาออก จังหวะนั้น อุษามาขอพบ เพื่อรายงานเรื่องที่อดิศวร์สั่งให้จัดห้องไว้ให้ปรางอีกห้องหนึ่งติดกัน เธอไม่อยากให้ยุ่งยากขอนอนห้องเดียวกับลูก อุษายินดีทำตามที่ปรางต้องการ สักครู่จะไปหาผ้าห่มกับหมอนมาเพิ่มให้

“คุณลบให้ขึ้นมาบอกว่าเย็นนี้ให้คุณแม่กับคุณ

วิกินข้าวกันข้างบนนี้แหละค่ะ ไม่ต้องลงไปข้างล่างจะ ได้คุยกันให้หายคิดถึง พี่จะให้อุไรยกอาหารขึ้นมาให้นะคะ” อุษารายงานเสร็จ ออกจากห้อง วิรงรองไม่อยากให้ใครต้องมาวุ่นวาย นัดแนะกับแม่ให้ลงไปห้องกินข้าวก่อนเวลาเล็กน้อย อุไรจะได้ไม่ต้องยกอาหารขึ้นมาให้

ooooooo

แสงแขไม่ยอมปล่อยโอกาสเล่นงานวิรงรองให้หลุดลอยรีบเสนอหน้าเข้าไปฟ้องท่านผู้หญิง

สรรักษ์ว่าวิรงรองพาแม่มาพักที่นี่ ท่านเอ็ดตะโรลั่นว่านังนั่นเห็นบ้านของตนเป็นอะไร นึกอยากจะพาใครมาก็พามาได้ตามอำเภอใจ แล้วสั่งให้แสงแขไปบอกอดิศวร์ว่าท่านต้องการให้พวกมันออกไป

“แขไม่กล้าหรอกค่ะ กลัวคุณลบจะเกลียดขี้หน้าแข”

“ดัดจริต ยังกับเขาชอบขี้หน้าแกนักนี่...ไปไป ตามตาลบมา”

ยัยตัวแสบประจำบ้านจำต้องข่มความไม่พอใจไว้ แสร้งรับคำอย่างนอบน้อมแล้วรีบไปตามคำสั่ง...

ไม่นานนัก อดิศวร์มาพบท่านผู้หญิงสรรักษ์ ถามอย่างอารมณ์ดีว่ามีอะไรจะใช้เขาหรือ ท่านต่อว่าว่าแม่ของนังพลับพลึงมาพักที่นี่ทำไมไม่บอกกล่าวกันบ้าง แล้วเตือนหลานชายอย่ายอมให้นังนั่นจับเด็ดขาด

“ไม่มีใครเขาจับผมหรอกครับ”อดิศวร์หน้าเครียดขึ้นมาทันที ท่านผู้หญิงบีบน้ำตาถามว่าโกรธท่านหรือ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ

“ไม่ว่าย่าจะเคยทำอะไรมาหรือ”

“คุณย่าเคยทำอะไรมาล่ะครับ” อดิศว์ถามไป อย่างนั้นเองไม่ได้จริงจังอะไร ท่านผู้หญิงสรรักษ์รู้ตัวว่าพูดมากไป รีบตัดบทว่าเหนื่อยมากขอพักผ่อนก่อน 

แล้วเลื่อนตัวลงนอนโดยมีอดิศวร์ดึงผ้ามาห่มให้ ท่านย้ำกับหลานรัก อีกครั้งหนึ่งให้ไล่พวกนั้นออกไปจากที่นี่ อดิศวร์ไม่ตอบได้แต่หอมแก้มท่านแล้วลุกออกไป...

ด้านแสงแขยืนมองวิรงรองพาปรางเดินชมความงามของสถานที่อยู่ตรงหน้าต่างห้องนั่งเล่นด้วยสายตาเกลียดชัง อดแขวะไม่ได้ว่าทำราวกับเป็นเจ้าของบ้าน ขณะที่เธอ

หันกลับมาเจออดิศวร์กำลังมองสองแม่ลูกอยู่เช่นกัน แสงแขเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแย้ม ซ้ำยังออกปากชื่นชม สองแม่ลูกแทบไม่ทัน...

ถึงเวลาอาหารค่ำ แสงแขแสร้งทำดีกับปรางและวิรงรองเมื่ออยู่ต่อหน้าอดิศวร์ คอยบริการตักอาหารให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ชวนปรางคุยอย่างสนิทสนมถึงขนาด

ที่ว่าถ้าแสงแขไปเที่ยวกรุงเทพฯจะขอไปพักที่บ้าน...

หลังจากอาหารมื้อค่ำแสนอร่อยผ่านไป วิรงรอง ชวนแม่ไปคุยต่อกันที่ห้องพัก เธอไม่วายเหน็บแนมว่า อาหารมื้อนี้กลายเป็นแสงแขโชว์ไปโดยปริยาย ปรางตำหนิว่าไม่ควรไปค่อนขอดเธอแบบนั้น หรือว่าเธอไม่ดีกับลูก วิรงรองไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ ปฎิเสธว่าเปล่า ปรางดูออกว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น คาดคั้นให้บอกความจริง

“เอ่อ...เราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่หรอกค่ะ 

ไม่เหมือนหนูกับพี่อุษา คุณจะค้างสักกี่วันคะ”

“พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว อยู่นานๆเกรงใจเจ้าของบ้าน อีกอย่างหนึ่งคุณเป็นห่วงบ้านทิ้งจิ๋วไว้คนเดียว”

วิรงรองจะให้ลานนามารับไปส่งสนามบินพรุ่งนี้ ปรางรีบบอกว่าไม่ต้อง เพราะคุณอดิศวร์อาสาจะไปส่งด้วยตัวเอง วิรงรองชักสีหน้าไม่พอใจที่เขาวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง

“วิรงรอง...คุณแสงแขจริงใจหรือไม่คุณไม่รู้ แต่สำหรับคุณอดิศวร์ คุณเชื่อว่าเขาจริงใจและในเมื่อเขาดีกับเราๆก็ควรจะดีกับเขาเป็นการตอบแทน” ปรางปราม...

ดึกสงัดคืนเดียวกัน ท่านผู้หญิงสรรักษ์ฝันร้ายว่าไปที่โรงเก็บรถม้าแล้วเจอผีท่านเจ้าคุณในสภาพใบหน้าเหลือเพียงหัวกะโหลกเดินเข้ามาหาอย่างปองร้าย ท่านผู้หญิงกรีดร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว อุไรซึ่งนอนเฝ้าอยู่ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นเปิดโคมไฟบนโต๊ะหัวเตียง ถามว่าเป็นอะไรไป ท่านละล่ำละลักว่าท่านเจ้าคุณมา อุไรถึงกับตาเหลือกเหลียวมองเลิ่กลั่ก แต่แล้วสีหน้าหวาดกลัวของท่านผู้หญิงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม

“นังพิศมาแล้ว...นังอุไรแกออกไปได้แล้ว นังพิศมัน มาอยู่เป็นเพื่อนฉันแล้ว”

อุไรขวัญกระเจิงโดดผลุงเดียวถึงประตูห้อง แล้วรีบร้อนเปิดออกไป ต้องตกใจจนหมดสติลงไปกองกับพื้น เมื่อเจอผีพิศยืนอยู่ตรงหน้า พิศค่อยๆลอยผ่านอุไรมาหาท่านผู้หญิงซึ่งมองมาอย่างไม่สบอารมณ์

“พิศ...ทำไมแกไม่ช่วยฉัน แกปล่อยให้ไอ้คนทรยศสองคนนั่นมันตามมาหลอกหลอนฉัน”

พิศเองก็จนปัญญาจะช่วยเหลืออะไรได้ ท่านผู้หญิงโกรธจัดลุกขึ้นชี้หน้าในเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ไปให้พ้น

ooooooo

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น