วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 10

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 10

เจ้าหญิงสุไบดาไม่เป็นอันกินอันนอนเนื่องจากห่วงลูกชาย ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะยังไม่มีใครมาแจ้งความคืบหน้าให้ทราบ นิชานางสนองพระโอษฐ์เตือนให้กินอะไรบ้างเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน

“ไม่ สบายรึ...ดีสิ เรายินดีเจ็บแทนลูก นิชารู้ไหมว่าอาการชารีฟหนักมากนะ ต้องเรียกว่าปางตายทีเดียวกำลังอยู่ในห้องผ่าตัด โอ...พระเจ้าคุ้มครองเขาด้วย เขาเสียสละเพื่อประเทศมากแล้วอย่ามากไปกว่านี้เลย”

จังหวะนั้น นางกำนัลอีกคนหนึ่งนำทหารซึ่งมาจากโรงพยาบาลมาเข้าพบ เจ้าหญิงสุไบดาภาวนาขอให้เป็นข่าวดี เพราะคงทนไม่ได้ที่จะได้ยินเรื่องร้ายๆ ของลูกชาย

“ทูลเจ้าหญิงพระมารดาพระเจ้าข้า ท่านราชองครักษ์อาการปลอดภัยแล้วพระเจ้าข้า”

เจ้า หญิงสุไบดาถึงกับถอนใจโล่งอก ครู่ต่อมาพระองค์ มาถึงโรงพยาบาล พบการิมและทหารชั้นผู้ใหญ่หลายนายกำลังเซ็นสมุดเยี่ยมอยู่หน้าห้องพักฟื้น ของชารีฟ ทุกคนยืนตรงทำความเคารพเมื่อเห็นพระองค์ การิมปราดเข้ามารายงานว่าท่านราชองครักษ์ยังไม่ฟื้น เพิ่งออกจาก ห้องผ่าตัดเมื่อตอนบ่าย

“บ่าย!...นี่จะห้าโมงเย็นอยู่แล้วนะ ยังไม่ฟื้นอีก มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรผิดปกติพระเจ้าข้า”

“ไม่ จริง ต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ ผ่าตัดก็ใช้เวลานานเกินไปแล้ว ควรฟื้นได้แล้ว” เจ้าหญิงสุไบดาร้อนใจมากรีบเข้าไปหาลูกชายที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บน เตียงผู้ป่วย เอามือเขามากุมไว้ด้วยสีหน้าเป็นกังวล นิชาปลอบให้ใจเย็นๆ คณะแพทย์ดูแลท่านราชองครักษ์เต็มที่แล้ว

“ทำไม่ยังไม่ฟื้น นานเกินไปแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะบอกเราว่าทำไมถึงยังไม่ฟื้น ชารีฟ...ลืมตาหน่อยสิลูกแม่อยู่นี่นะลูก” เจ้าหญิงสุไบดาลูบมือลูกชายน้ำตาคลอเบ้า ด้านชารีฟฝันถึงมิเชลล์ตอนที่ขาดน้ำและอาหารกำลังจะตายอยู่กลางทะเลทราย พยายามเรียกเธอให้ได้สติ

“มิเชลล์...มิ...เชลล์”

เจ้าหญิงสุ ไบดาได้ยินเสียงลูกชายละเมอไม่ถนัด เรียกนิชามาช่วยฟังด้วย ชารีฟละเมอเรียกมิเชลล์อีกครั้ง คราวนี้ชัดเต็มสองหู พระองค์ถึงกับบ่นพึมพำไม่ค่อยชอบใจนัก

“นึกแล้ว...อาถรรพณ์ทะเลทรายหรือนี่ แค่เดินไปด้วยกันไม่กี่วัน จะรักกันแค่ไหนเชียว”

ooooooo



ขณะ ที่ชารีฟยังนอนสลบไสลไม่ได้สติ พระชายาในองค์อาหเม็ดซึ่งยังคงอยู่ที่โอเอซิสใกล้เมืองอานาอิชาสังหรณ์ใจว่า มิเชลล์อาจจะรู้แล้วว่าชารีฟบาดเจ็บสาหัสเพราะเห็นหน้าตาท่าทางเศร้าสร้อย ผิดปกติ ทั้งๆ ที่ควรดีใจที่จะได้กลับฮิลฟารา ถามฟาราห์นางกำนัล ใกล้ชิดว่าไปบอกเรื่องชารีฟให้มิเชลล์รู้หรือเปล่า

“โธ่...พระชายาเพคะ หม่อมฉันทราบเมื่อครู่นี้เอง ยังไม่ได้ออกไปนอกกระโจมด้วยซ้ำ”

พระชายาแปลกใจ ถ้าฟาราห์ไม่ได้บอกแล้วทำไมมิเชลล์ถึงทำท่าทางเหมือนรู้เรื่องนี้ ตัดสินใจถามเธอว่าเป็นอะไรไป ท่าทางไม่สบายใจ อีกไม่กี่วันก็จะได้เจอสามีแล้ว ควรจะยิ้มแย้มมีความสุข มิเชลล์มองอย่างรู้ทัน

“เขาเจ็บมากใช่ไหมเพคะ หม่อมฉันสังหรณ์ใจเพคะ ในใจนี่มันว่างเปล่าชอบกล”

“ไม่ตายหรอก เรารับรอง  ชารีฟปลอดภัยแล้วแน่นอน”

มิ เชลล์สีหน้าผ่อนคลาย ถามว่าที่ฮิลฟาราเป็นอย่างไรบ้าง  พระชายาทราบมาว่าเหตุการณ์สงบเรียบร้อยดี องค์อาหเม็ดกำลังรอคอยที่จะพบกับประชาชนของพระองค์ แต่ท่านไม่แน่ใจว่าจะพบด้วยวิธีใด...

องค์อาหเม็ดใช้ทีวีเป็นสื่อใน การพบปะกับประชาชน ออกอากาศรายการสดให้ชาวเมืองฮิลฟารารู้ว่าพระองค์ยังไม่สิ้นพระชนม์อย่างที่ ฝ่ายกบฏป่าวประกาศ ชาวเมืองที่เห็นรายการทีวีต่างโห่ร้องด้วยความปีติ

“ข้า ถูกชะตากรรมส่งให้จากบ้านจากพวกเจ้าไปเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย ข้าได้พบสิ่งที่ข้าไม่เคยพบได้เห็นในบางสิ่งที่ไม่เคยเห็น นั่นคือ ความทุกข์ยากลำบากของประชาชนของข้า บัดนี้ ชะตากรรมของข้าสิ้นสุดลง ด้วยชีวิตของคนทรยศ ข้ากลับมาแล้วพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ในใจของข้า ต่อไปนี้อีก 5 ปี ฮิลฟาราของเราจะไม่มีคนโง่ จะไม่มีคนเจ็บ  จะไม่มีคนไร้ที่อยู่ จะไม่มีคนอดอยาก”

ประชาชนที่อยู่หน้าจอทีวีต่างชอบใจปรบมือส่งเสียง โห่ร้องกึกก้อง องค์อาหเม็ดยังประกาศอีกว่าจะใช้มาตรการทางภาษีจัดการกับคนร่ำรวยเพื่อจะได้ กระจายความสุขสบายไปถึงคนยากคนจน

“ข้าไม่กลัวคนรวยต่อต้าน ไม่กลัวเดินขบวน ไม่กลัวคนรวยไม่ร่วมมือ เพราะข้ามีคนจนมากกว่าครึ่งเป็นพวกของข้า ข้อต่อไปที่ข้าให้สัญญา ฮิลฟาราจะไม่มีคอร์รัปชัน ข้าจะไม่ยอมให้คนเห็นแก่ตัวใช้อำนาจเบียดบังเงินทองเข้ากระเป๋าตัวเองจนร่ำ รวยล้นฟ้ามากกว่าคนอื่นอีกเป็นอันขาด”

เสียงองค์อาหเม็ดจากในทีวีดัง กังวานไปทั่วห้องพักฟื้นของชารีฟซึ่งค่อยๆรู้สึกตัวลืมตาขึ้น ทุกอย่างพร่ามัวเห็นเงาใครบางคนอยู่ใกล้ๆ ร้องถามแทบจะเป็นเสียงกระซิบว่านั่นใคร

“ชารีฟ...โอชารีฟ เห็นแม่ไหม นี่แม่นะลูก” เจ้าหญิงสุไบดาลูบหัวลูกชายด้วยความดีใจ

ชา รีฟยังเห็นไม่ถนัด พยายามเอามือไขว่คว้า พลางถามว่าตนเองเป็นอะไรไป เจ้าหญิงสุไบดาจะไปตามหมอมาตอบคำถามนี้ให้ แล้วรีบออกจากห้อง ชารีฟได้ยินเสียงองค์อาหเม็ดในทีวี หันขวับไปมอง

“อีก 5 ปี ฮิลฟาราจะมีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง เราขอคืนอำนาจให้ประชาชน ขอเวลา 5 ปีเพื่อเตรียมประชาชนให้พร้อมเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ขอสัญญา” สิ้นเสียงประกาศขององค์อาหเม็ด ชารีฟเปล่งเสียง

“ทรงพระเจริญ” เหมือนเช่นชาวฮิลฟาราทั้งหลายที่เฝ้าชมรายการอยู่หน้าจอทีวี

ooooooo

พวกนางกำนัลฝ่ายในซึ่งยังอยู่ที่โอเอซิสใกล้เมืองอานาอิชาต่างยิ้ม แย้มกันถ้วนหน้าเมื่อองค์อาหเม็ดส่งกำลังทหารมารับกลับฮิลฟาราแต่เช้า โดยเฉพาะมิเชลล์ที่ดูจะฉีกยิ้มไม่หุบจนพระชายาอดกระเซ้าไม่ได้

“ยิ้มจนปากจะถึงหู แต่ก็ทำให้กระโจมนี้สว่างขึ้น มาทันตาจริงไหมฟาราห์”

“จริงเพคะ แต่หม่อมฉันกับพวกนางกำนัลพวกนี้ก็ยิ้มนะเพคะ”

พระ ชายาสั่งให้ทุกคนยกเว้นมิเชลล์ลองหุบยิ้ม อยากรู้ว่าจะทำให้กระโจมสว่างน้อยลงหรือไม่  มิเชลล์เขินอายขอร้องว่าไม่ต้องทำ  ทุกคนพากันหัวเราะกันสนุกสนาน...

ขณะ ที่มิเชลล์หัวใจพองโตเต็มไปด้วยความสุขที่จะได้กลับไปเจอหน้าชารีฟอีกครั้ง หนึ่ง  เจ้าหญิงสุไบดาร้อนใจมากที่ลูกชายนอนละเมอเรียกชื่อมิเชลล์อยู่ตลอด จึงตามตัวนิชามาสั่งการ

“นิชาฟังให้ดี เราต้องการรู้เรื่องของผู้หญิงต่างชาติคนนั้นที่ชื่อมิเชลล์ ผู้หญิงที่เกือบจะเป็นผู้หญิงขององค์อาหเม็ด ไปยังไงมายังไงถึงกลายมาเป็น เอ่อ...ของลูกชายเรา เราต้องการเร็วนะนิชา หาคนไปหาคำตอบมา”

นิชาไม่รอช้า ส่งคนไปจัดการตามที่เจ้าหญิงสุไบดาต้องการทันที...

ใน เวลาต่อมา ภายในห้องพักผู้ป่วย ชารีฟนอนละเมอเรียกมิเชลล์อีก พยาบาลกำลังจะฉีดยาให้ถึงกับชะงัก เขาคว้ามือเธอไว้ ถามทั้งที่ยังหลับตาว่ามิเชลล์หรือ พยาบาลยังไม่ทันจะพูดอะไร เขาผลักมือเธอออก

“ไม่ใช่เธอ ไม่ใช่มิเชลล์”

“ท่านราชองครักษ์ ดิฉันพยาบาลค่ะ ฉีดยานะคะ”

ชา รีฟปัดมือพยาบาลไม่ยอมให้ฉีดยา แล้วร้องหามิเชลล์ พยาบาลถามหยั่งเชิงว่าผู้หญิงที่เขาเรียกหาใช่ภรรยาของเขาหรือไม่ ชารีฟตอบเสียงแผ่วว่าใช่  เธอฉีดยาให้เขาจนได้  แล้ว ดึงผ้ามาห่มให้ มีเสียงเคาะประตูห้องเบาๆ  พยาบาลพุ่งไปเปิดให้ราวกับนัดกันไว้ คนของเจ้าหญิงสุไบดาถามว่าได้เรื่องไหม

“ท่านราชองครักษ์บอกว่ามิเชลล์คือภรรยาของท่าน” พยาบาลรายงาน...

ทันที ที่ทราบเรื่องจากนิชาว่ามิเชลล์เป็นภรรยาของชารีฟ เจ้าหญิงสุไบดาหันไปโวยวายกับไบคาน นี่เราสองคนจะได้หญิงต่างชาติเป็นสะใภ้เอกหรือ นิชารายงานเพิ่มเติมว่าชารีฟกับมิเชลล์แต่งงานกันแล้ว

“ไม่แปลก ถึงจะตบแต่งกันเป็นเมียแรกก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นเมียเอก”

“องค์อาหเม็ดทรงเป็นองค์จัดพิธีนะเพคะ คงจะทรงเห็นว่าท่านราชองครักษ์อุทิศให้ทั้งชีวิตน่ะเพคะ เลยอยากจะทรงตอบแทน”

เจ้า หญิงสุไบดาท้วงติง ถ้าองค์อาหเม็ดอยากจะตอบแทนชารีฟก็ควรจะให้เป็นอย่างอื่น ประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิมของฮิลฟาราไม่ควรถูกละเมิด ตนจะไม่ยอมให้ลูกชายมีเมียเอกเป็นผู้หญิงต่างชาติเด็ดขาด ไบคานไม่เห็นด้วย ถ้าชารีฟชอบอย่างไรก็ควรจะให้ลูกเลือกเองเพราะลูกเป็นคนแต่งงานไม่ใช่เรา

“แต่ เราเป็นพ่อเป็นแม่ ประเพณีของฮิลฟาราเป็นหน้าที่ของเราต้องรักษา ต้องทำมากกว่าประชาชนทั่วไป พ่อยอมให้ส่วนของพ่อ เรายังไม่เห็นเหตุผลที่จะละเมิดประเพณี...ไม่มีเหตุผล” เจ้าหญิงสุไบดายืนยันหนักแน่น


 ขบวนของพระชายาในองค์อาหเม็ดเดินทางมาถึงวังหลวงในบ่ายวันเดียวกัน โดยมีนายพลมุสกัตเจ้าหญิงฟารีดาพระชายาขององค์โอมาน รวมทั้งเจ้าหญิงสุไบดา และเหล่าทหารชั้นผู้ใหญ่มารอรับเสด็จพระชายาเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายและขอบใจนายพลมุสกัต ถ้าไม่ได้เขาคงจะไม่มีวันนี้


“คนสำคัญที่สุดมิใช่ข้าพระองค์ แต่เป็นท่านราชองครักษ์นายแพทย์ชารีฟพระเจ้าข้า”

“คนนั้นต้องยกไว้ แต่ถ้าพูดในวงกว้างคือท่าน...เดี๋ยวเราจะไปเฝ้าองค์อาหเม็ด”

“พระองค์เสด็จโรงพยาบาลพระเจ้าข้า”

มิเชลล์หันขวับมามอง เห็นพระชายาถามบางอย่างกับนายพลมุสกัต เธอพยายามเงี่ยหูฟัง แต่เสียงเบามากได้ยินไม่ถนัด มั่นว่าเรื่องที่คุยกันต้องไม่พ้นเรื่องชารีฟ ขยับจะเข้าไปหา นายพลมุสกัตหันมาเห็น รีบคำนับพระชายาแล้วผละจากไป มิเชลล์มองตามสีหน้าเป็นกังวล จากนั้น พระชายาเข้าไปทักทายและแสดงความ

เสียใจกับเจ้าหญิงฟารีดาที่ยืนหน้าตาหม่นหมอง เจ้าหญิงสุไบดาซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆเหลือบมองมิเชลล์อึดใจหนึ่งก่อนจะหันมาตัดพ้อพระชายาที่ไม่ทักทายตนบ้าง

“ก็หม่อมฉันเห็นเจ้าพี่ฟารีดาพระพักตร์เศร้านัก สบายดีหรือเพคะเจ้าน้าสุไบดา”

“ลูกชายเจ็บแทบตายจะหาความสบายมาจากไหน” เจ้าหญิงสุไบดาพูดจบ ปรายตามองมิเชลล์อีกครั้งคนถูกจ้องขยับตัวอย่างไม่สบายใจนักกับสายตาสำรวจตรวจตราของพระองค์...

ฝ่ายมิเชลล์ร้อนใจอยากรู้ข่าวคราวของชารีฟ มาซุ่มรออยู่ตรงจุดที่นายพลมุสกัตจะเดินผ่าน พอได้ยินเสียงเขาคุยกับทหารคุ้มกันแว่วเข้ามา เธอถลาออกมาดักหน้าไว้ ท่านนายพลโบกมือให้ทหารคุ้มกันหลบไปก่อน

“บอกดิฉันเถิดท่านนายพลมุสกัต ดิฉันฟังได้ทุกอย่างไม่ว่าชารีฟจะเจ็บหนักหรือสิ้นชีวิตไปแล้ว...เขาอยู่ที่ไหน ทำไมดิฉันจึงไม่ได้พบเขาเสียที ดิฉันรับรู้ได้ทุกอย่าง องค์อาหเม็ดเสด็จโรงพยาบาลทำไม เขาตายแล้วใช่ไหมท่านนายพล องค์โอมานฆ่าเขาใช่ไหม” มิเชลล์ถามเป็นชุด นายพลมุสกัตยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร เธอชิงพูดตัดหน้าเสียก่อนว่าถ้าชารีฟแค่บาดเจ็บ ทำไมทุกคนถึงมีท่าทีแปลกๆ

“ท่านราชองครักษ์บาดเจ็บจากการต่อสู้กับองค์โอมาน โรงพยาบาลและคณะแพทย์กำลังรักษาท่านจนสุดความสามารถ อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว” นายพลมุสกัตมองมิเชลล์ด้วยความเห็นใจ...

แม้จะใจชื้นที่รู้ว่าชารีฟปลอดภัย แต่มิเชลล์ยังเป็นกังวลว่าการที่ตัวเองเป็นคนต่างชาติต้องสร้างอุปสรรคให้กับความรักของเราสองคนแน่นอน ยิ่งคิดถึงสายตาของเจ้าหญิงสุไบดาที่จ้องมองตนเองแล้วยิ่งไม่สบายใจ

“ชารีฟ ฉันคิดถึงท่าน อยากไปหาท่านเหลือเกิน” มิเชลล์พึมพำน้ำตาคลอ

ooooooo

ในขณะเดียวกัน องค์อาหเม็ดซักถามหมอเจ้าของ ไข้ว่าอาการของชารีฟเป็นอย่างไรบ้าง หมอรายงานว่าบาดแผลที่หน้าอกกับที่ซอกคอค่อนข้างฉกรรจ์ อีกนิดเดียวก็จะถึงเส้นเลือดใหญ่ที่เข้าหัวใจ ผู้ป่วยเสียเลือดมากจึงต้องให้เลือด องค์อาหเม็ดขู่ แกมหยอกว่าจะต้องรักษาชารีฟให้หาย ถ้าไม่หายหมออาจจะเจ็บตัวเสียเอง

“พระเจ้าข้า ข้าพระองค์และหมอทั้งโรงพยาบาลรับสนองพระบรมราชโองการพระเจ้าข้า”

“ขอบอกให้รู้ทั่วกันว่าพันเอกชารีฟน้องชายของเราคนนี้ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ เราไม่สามารถได้ บัลลังก์คืนถ้าไม่มีสองแขนและเลือดเนื้อของเขาค้ำจุนอยู่” องค์อาหเม็ดมองไปยังชารีฟที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเป็นกังวล แล้วเข้าไปกระซิบเรียก ชารีฟขยับเปลือกตาเหมือนจะได้ยิน ทำให้พระองค์คลายความกังวลลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามหมอว่าคนป่วยรู้ตัวไหม หมอเองก็ไม่แน่ใจ ถ้ารู้ตัวก็คงจะรางเลือนเต็มที ตอนนี้ถือว่าคนป่วยพ้นขีดอันตรายแล้ว

“ก็ยังดี...คราวนี้เราไม่พูดเล่น ถ้าเขาไม่หาย หมอต้องเจ็บด้วย” องค์อาหเม็ดเสียงเข้ม สีหน้าไม่ยิ้มแย้มเหมือนเมื่อครู่ ทำเอาพวกหมอเสียวสันหลังตามๆกัน...

ทันทีที่กลับจากโรงพยาบาล องค์อาหเม็ดตรง ไปหาพระชายาที่ตำหนักใน เล่าอาการของชารีฟให้ฟังว่าเจ็บหนักมากแต่พ้นขีดอันตรายแล้ว เหลือแค่ขั้นตอน การรักษา พระชายาโล่งใจที่เขาปลอดภัย องค์อาหเม็ดเองก็สบายใจขึ้น แต่ยังเป็นกังวลเรื่องความรักของชารีฟกับมิเชลล์ อาจถูกเจ้าหญิงสุไบดาขัดขวาง

“ทรงทราบได้อย่างไรว่าเจ้าน้าสุไบดาจะขัดขวางเรื่องนี้”

“หนึ่ง เพราะรู้จักเจ้าน้าดีว่าทรงเคร่งครัดเรื่องประเพณี เหลือเกิน เจ้าน้ายอมหักไม่ยอมงอทุกครั้ง ได้ยินคนเล่าว่า มีเรื่องกับโอมาน...โอมานยังต้องแพ้”
พระชายาขอเหตุผลข้อที่สอง องค์อาหเม็ดไม่มีให้ แต่สรุปสั้นๆว่าถ้าอยากจะช่วยเหลือคู่รักคู่นั้นองค์ชายาคงต้องออกแรงเหนื่อยหน่อย แต่ยังมีเวลาให้คิดวางแผนอีกหลายวันกว่าชารีฟจะหาย แล้วขยับจะไป มิเชลล์พรวดพราดเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวอาญา เพราะร้อนใจอยากรู้อาการของชารีฟ

“ขอพระราชทานอภัยที่หม่อมฉันเข้ามาไม่ขอ พระราชทานอนุญาต แต่ว่า...”

“ยินดีที่ได้พบมาดมัวแซลล์เดอลาโรนีส์” องค์อาหเม็ดตรัสเสร็จ ผลุนผลันออกไปทันที มิเชลล์มองตามน้ำตาคลอเบ้า พระชายาสงสารและเห็นใจเธอมาก จูงมือมานั่งใกล้ๆพลางปลอบใจ

“ผู้หญิงที่จะเป็นเมียชารีฟ คุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งคือ ต้องเข้มแข็งมากกว่าผู้หญิงธรรมดา”

ooooooo

องค์อาหเม็ดคอยถามข่าวคราวของชารีฟอยู่ตลอด พอรู้ว่าอาการดีขึ้นพูดคุยได้แล้วจึงแวะไปเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง เห็นเขามีสีหน้าแจ่มใสแต่ยังดูอิดโรย ถามด้วยความเป็นห่วงว่าหายเจ็บหรือยัง

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า พอบรรเทาแล้วพระเจ้าข้า”

พระองค์วางมือบนไหล่ชารีฟ “ขอบใจมากชารีฟ แผลใหญ่นะ ก็มีดวงเดือนนี่ใครมือไม่ถึงก็ไม่ต้องคิดอะไร จัดพิธีศพได้ โดยเฉพาะดวลกับโอมาน”

ชารีฟถ่อมตัวว่าเป็นเพราะพระปรีชาของพระองค์ต่างหากที่สั่งให้เขาฝึกฝนใช้มีดนั่น องค์อาหเม็ดสั่งให้เขาเล่าเหตุการณ์ตอนที่ต่อสู้กับองค์โอมานให้ฟังว่าทำไมถึงกลายเป็นสู้กันด้วยมีดไม่ใช่ถูกฆ่าบนเตียงผ่าตัด ชารีฟเล่าว่าองค์โอมานรู้แผนการของเราแล้ว เขาสงสัยตั้งแต่วันที่ส่งวิทยุเพราะรหัสลับไม่ถูกต้อง แต่ก็ตัดสินใจเข้าไปพบเพราะเดาว่าคนอย่างองค์โอมานมีศักดิ์ศรีพอตัว คง ไม่ถือโอกาสฆ่าคนที่เหมือนลูกไก่ในกำมือ

“ข้อนี้ต้องยกย่องโอมาน คงท้าดวลมีดวงเดือนและเจ้ารับคำท้าทั้งๆที่รู้ว่านั่นคือความตายเท่านั้น”

“ข้าพระองค์คิดถึงฮิลฟารา คิดถึงประชาชน คิดถึงองค์อาหเม็ด ตั้งใจไว้ว่าจะใช้สติทุกลมหายใจ ตอนนั้นข้าพระองค์ใกล้หมดสติ องค์โอมานฟาดดาบลงมาเต็มแรง ข้าพระองค์นั่งลงดาบพลาดไม่ถูก จึงแทงสวนขึ้นไป”

องค์อาหเม็ดซาบซึ้งใจมาก ตบหัวชารีฟเบาๆขอบใจเขาอีกครั้งที่ช่วยค้ำจุนราชบัลลังก์ไว้ และกำชับให้รักษาตัวให้หายเร็วๆ พระองค์จะจัดพิธีฉลองปูนบำเหน็จความดีความชอบให้ ชารีฟอยากจะถามเรื่องมิเชลล์แต่ไม่กล้า พระองค์เหมือนจะอ่านใจเขาออก บอกว่าพวกฝ่ายในกลับจากโอเอซิสหมดแล้ว สายตาของชารีฟบ่งบอกว่าอยากเจอหญิงคนรักเหลือเกิน

“เห็นใจ...เห็นใจมาก แต่ยังให้มาพบไม่ได้รอก่อน” องค์อาหเม็ดตบไหล่ชารีฟเบาๆก่อนจะออกจากห้องเจอนายพลมุสกัตคอยส่งเสด็จอยู่หน้าห้อง กระซิบให้เข้าไปช่วยปลอบใจชารีฟที่คิดถึงมิเชลล์ใจจะขาดอยู่แล้ว เขายิ้มขำ คำนับพระองค์แล้วเปิดประตูห้องพักฟื้นเข้าไป องค์อาหเม็ดพลอยยิ้มไปด้วย
ที่มา:ไทยรัฐ

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 9

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 9

หลังจากส่งศาสตราจารย์โมฮัมหมัดขึ้นอูฐไปกับพวกเบดูอินเรียบร้อย ชารีฟและการิมกลับมาที่รถนายทหารคนสนิทอดถามไม่ได้ว่าที่พูดเมื่อสักครู่ว่าจะไม่มีการผ่าตัด หมายความตามนั้นจริงหรือ

“อย่างที่พูด...องค์โอมานรู้แผนการของเราทั้งหมดแล้ว”

“อะไรนะ ท่านว่าอะไรนะ” การิมร้องเอะอะ ชารีฟอธิบายให้ฟังทุกอย่างดูง่ายดายเกินไป และยิ่งได้ฟังรหัสตอนส่งวิทยุยิ่งแน่ใจว่าเป็นกับดัก การิมไม่เข้าใจ ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วทำไมยังจะเดินตามแผนการเดิมอยู่อีก เขาไม่เห็นทางอื่นที่จะเข้าถึงตัวองค์โอมานได้ และที่สำคัญองค์อาหเม็ดอาจจะยกพลไปถึงเมืองโฮไดดะแล้วก็ได้ การิมเกรงว่าชารีฟจะถูกจับทันทีที่ย่างเท้าเข้าฮิลฟารา

“องค์โอมานจะไม่ฆ่าเราทันที เราหนีพระองค์ได้กลางทะเลทราย นั่นจุดความแค้นยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นจะไม่ดีรึที่พันเอกชารีฟ คนที่ลอบปลงพระชนม์องค์อาหเม็ดย้อนรอยกลับมาอีกครั้ง องค์โอมานต้องป้องกันบัลลังก์ด้วยการต่อสู้อย่างลูกผู้ชาย และพระองค์ก็จะประหารเราอย่างลูกผู้ชาย”

“อย่างไรรึ”

“พระองค์ต้องการปักมีดบนหัวใจของเราด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เออ...มีดวงเดือนอาวุธที่พระองค์เชี่ยวชาญมากที่สุด ไม่มีใครเทียบได้เลยในประเทศนี้...มนุษย์มีแรงผลักดันล้ำลึกให้ต่อสู้ มนุษย์ชอบเสี่ยงแม้จะรู้ว่าความตายอยู่ข้างหน้า การเข้าฮิลฟาราครั้งนี้มิได้เกิดจากแรงผลักดันที่ว่านั้น แต่เกิดจากแรงจงรักภักดีต่อประเทศชาติ และต่อองค์อาหเม็ด การเสี่ยงครั้งนี้เป็นตายเท่ากัน...การิม ถ้าเจ้ากลัวก็ไม่ต้องไปกับเรา”

สายตาเด็ดเดี่ยวของการิมที่มองตอบบ่งบอกทุกอย่างชัดเจน ราชองครักษ์หนุ่มพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วพากันเดินทาง ยิ่งใกล้ฮิลพารา ชารีฟยิ่งคิดถึงมิเชลล์ กลัวจะไม่ได้พบกันอีก...

ขณะที่การิมและชารีฟมุ่งมั่นกับภารกิจสำคัญ ณ กระโจมขององค์อาหเม็ดใกล้เมืองอานาอิชา เจ้าชายอับดุลลารายงานต่อองค์อาหเม็ดว่า วิทยุถูกตัดตอนด้วยคลื่นรบกวนหลายช่วง ชวนให้สงสัยว่าองค์โอมานจะล่วงรู้แผนการของเราหมดแล้วอย่างที่พระองค์ว่า แต่ท่านไม่เข้าใจในเมื่อพระองค์ทราบเรื่องนี้แล้วทำไมถึงไม่ระงับภารกิจของชารีฟ นายพลมุสกัตจะส่งคนไปเตือนเขาให้ แต่องค์อาหเม็ดห้ามไว้

“ทุกคนฟังเรา แผนการต้องดำเนินต่อไป คิดอย่างที่เจ้าคิดเถอะอับดุลลาเราไม่ห้าม เราก็ประณามตัวเองอยู่ แต่นี่คือฮิลฟาราไม่ใช่อาหเม็ด ไม่ใช่ชารีฟ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น นี่คือชะตากรรมของประชาชนทุกคน”

เจ้าชายอับดุลทักท้วง ถ้าชารีฟตาย ฮิลฟาราก็ต้องตายไปด้วย องค์อาหเม็ดประกาศลั่นว่า ชารีฟจะไม่ตาย องค์โอมานแม้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ดวงชะตาของชารีฟแกร่งกว่า แล้วสั่งให้เตรียมยกทัพไปฮิลฟารา เจ้าชายอับดุลลาตกใจ ถ้าทำเช่นนั้นท่านราชองครักษ์จะตกอยู่ในอันตราย องค์อาหเม็ดจำต้องตัดใจ

“พันเอกชารีฟราชองครักษ์เป็นคนฉลาด เป็นคนเก่งรอบคอบไม่ขลาดเขลา ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อแผ่นดิน เรามั่นใจว่าญาติของเราต้องหาทางแก้เกมนี้ได้สำเร็จ ขอพระอัลเลาะห์คุ้มครองชารีฟ”...

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ภายในร้านขนมปังที่ซึ่งชารีฟใช้เป็นสถานที่ส่งข่าวถึงองค์อาหเม็ด ทหารฝ่ายตรงข้ามโยนเงินปึกใหญ่ให้เจ้าของร้าน กำชับว่าอย่าปากโป้งเด็ดขาด ถ้ายังอยากจะใช้เงิน...

ooooooo


ชารีฟในคราบศาสตราจารย์โมฮัมหมัดและ การิมในฐานะผู้ช่วยแพทย์มาถึงตำหนักหลวงตาม กำหนดโดยมีเจ้าหน้าที่ขององค์โอมานมารอต้อนรับ จากนั้นจึงพาไปยังตึกรับรอง และแจ้งว่าอีกสามวัน พระองค์ถึงจะโปรดให้เข้าเฝ้า ชารีฟแปลกใจทำไมต้องให้รออีกตั้งสามวัน

“พระองค์โอมานไม่ว่าง ยังไม่พร้อมที่จะทรงผ่าตัด” เจ้าหน้าที่ว่าแล้วเดินนำเข้าไปด้านในตึก การิมสังเกตเห็นทหารยืนยามเรียงรายตามสองข้างทาง สะกิดให้ชารีฟดู


“ท่านดูหน้าแต่ละคนสิ เหมือนมันอยากตาย”

“พวกกองโจรทะเลทรายถูกจ้างมาเป็นทหาร จากเมืองเสด็จแม่ขององค์โอมาน”

“อ๋อ...คนป่าคนดงมาแต่งทหาร” การิมปรายตามองอย่างดูแคลน...

ตั้งแต่มาถึงวังหลวง ชารีฟกับการิมได้แต่อยู่ในตึกรับรองไม่ได้ออกไปไหน การิมเริ่มทนไม่ไหว เดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิด บ่นโน่นบ่นนี่ไม่หยุดปาก ผิดกับชารีฟลิบลับที่นั่งสงบนิ่ง สีหน้าเย็นชา

“นี่มันถูกทรมานเหมือนหนูติดจั่นนะ โรคประสาทจะกินตาย”

“เป็นการบั่นทอนกำลังทางอ้อม อย่าไปเดือดร้อน กับมันมากนักเพราะเท่ากับทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาต้องการ” ชารีฟว่าแล้วโยนหนังสือเล่มหนึ่งให้อ่านเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วหยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมาอ่านเอง แต่ในใจกลับคิดถึงมิเชลล์ หยิบแหวนเปียรุสที่ซ่อนไว้ในชายเสื้อ ขึ้นมาแนบกับริมฝีปาก...

ความคิดถึงของชารีฟราวกับจะส่งผ่านไปถึงมิเชลล์ซึ่งอยู่ห่างไกลไปหลายร้อยกิโลเมตรได้ เธอเองก็คิดถึงเขาใจแทบขาด เห็นเงาสะท้อนของชารีฟบนผิวน้ำในลำธารคิดว่ายืนอยู่ข้างหลัง หันไปมองกลับไม่พบใคร

“ฉันรู้แล้วว่าฉันคิดถึงท่านมากจน...จนเห็นไปเอง” มิเชลล์พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เดินหน้าเศร้าเข้าไปหาพระชายาในองค์อาหเม็ดที่กระโจมฝ่ายใน พระองค์ถามเธอว่าหายไปไหนมา มีข่าวดีจะมาบอก ตอนนี้ทุกกระโจมกำลังเก็บข้าวของเตรียมเดินทางกลับฮิลฟารา

“ฮิลฟาราหรือเพคะ เราชนะศึกแล้วหรือเพคะ” มิเชลล์แทบจะระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ไหว

“ถ้าไม่ชนะ ก็จวนจะชนะเต็มทีแล้ว”

มิเชลล์ดีใจมาก ขออนุญาตไปเก็บข้าวของ พอพ้นสายตาพระชายา เธอเดินไปเต้นรำไปตามทางอย่างเริงร่า นางกำนัลที่กำลังเก็บข้าวของลงหีบต่างหัวเราะมีความสุขไปด้วย แต่แล้วพวกนั้นหยุดกึก ชี้นิ้วข้ามไหล่เธอไปด้านหลัง มิเชลล์มองตามมือเห็นพระชายายืนอยู่ ถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้น นอกจากพระองค์จะไม่ดุด่าว่ากล่าวแล้ว ยังชวนมิเชลล์ลุกขึ้นมาเต้นรำด้วยกันอย่างสนุกสนาน

ooooooo

กองทัพขององค์อาหเม็ดเคลื่อนพลไปสองวันแล้ว แต่พวกฝ่ายในยังอยู่ที่โอเอซิสใกล้เมืองอา-นาอิชา ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ตามไป มิเชลล์นั่งหน้า หมองด้วยความผิดหวัง พระชายาอดกระเซ้าไม่ได้

“เราเพิ่งผ่านเวลาสนุกร่าเริงมาหยกๆวันที่เต้นรำกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าวันนี้ต้องมานั่งเศร้า”

“องค์อาหเม็ดเสด็จไปตั้งหลายวันแล้วนะเพคะ”

“เราควรจะดีใจเพราะรับสั่งว่าจะให้พวกเราตามเสด็จไปอยู่ฮิลฟาราหมดทุกคน ถ้าองค์อาหเม็ดยังไม่เสด็จไปสิ เราก็ไม่มีวันได้ตามเสด็จไปที่ไหนเลยนอกจากอยู่ตรงนี้”
“ทรงให้กำลังใจหม่อมฉันที่สุด หม่อมฉันขอบ พระทัยเพคะ” มิเชลล์จับมือพระชายามาจูบเบาๆ พระองค์มั่นใจว่าในไม่ช้านี้ คนทรยศก่อการกบฏจะต้องถูกลงโทษ...

ค่ำวันเดียวกัน ณ ที่มั่นของฝ่ายองค์อาหเม็ดชานเมืองฮิลฟารา องค์อาหเม็ดกล่าวให้กำลังใจไพร่พลที่เพิ่งผ่านการเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย

“เอาล่ะพวกเรา ในที่สุดเราก็มาถึงฮิลฟารา เท่ากับเราเข้ามาใกล้ปากเสือแล้ว...โน่น โอมานอยู่ที่โน่น รอเวลาที่ชารีฟจะไปประหารชีวิต ส่วนพวกเรารอคอยที่จะเข้าไปดูศพของไอ้คนทรยศ ท่านนายพลมุสกัต ทหารของเราในร่างของคาราวานเบดูอิน อยู่ในเมืองฮิลฟาราประมาณกี่คน”

“คาดว่าประมาณห้าหมื่นคนพระเจ้าข้า”

“เราเชื่อใจในพวกเขามาก เรารู้ว่าต่อให้เราตายต่อให้ท่านมุสกัตตาย ทหารของเราจะต่อสู้จนกว่าจะตายหมด ไม่มีคำว่าหนีในหมู่ของทหารอาหเม็ดที่สามแห่งฮิลฟารา...

ทุกคนฟัง ทหารของโอมานเราอยากเห็นนัก มันมาเป็นทหารเพราะค่าจ้างแพงๆ ที่โอมานล่อ ไม่มีจุดประสงค์จะป้องกันใคร หรือทำเพื่อใคร มันทำเพื่อเงินเท่านั้น”

นายพลมุสกัตตั้งข้อสังเกตว่าชารีฟเข้าไปในฮิลฟารานานเกินไปแล้ว องค์อาหเม็ดเองก็ทรงวิตกเช่นกัน อยากจะได้อาสาสมัครไปติดตามเรื่องนี้ ทหารยศพันตรีนายหนึ่งอาสาทำภารกิจนี้ให้ แม้รู้ดีว่าเสี่ยงอันตราย แต่เพื่อท่านราชองครักษ์แล้วเขาทำได้ทุกอย่าง องค์อาหเม็ดหน้าตึงขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ

“เจ้าจงหาทางไปบอกราชองครักษ์ว่าทหารของเราทั้งหมดเข้ามาอยู่ในฮิลฟาราแล้ว รอคอยพลุสัญญาณ”

นายพลมุสกัตไม่เห็นความจำเป็นต้องส่งใครไปแจ้งข่าว ท่านราชองครักษ์ทราบแผนการให้ทหารแฝงตัวเป็นเบดูอินเข้าไปอยู่ในเมืองดีแล้วเพราะท่านเป็นคนต้นคิดเอง เพียงแต่ไม่ให้ตนบอกใครเท่านั้น

“ชารีฟน้องเราเขาช่างฉลาดหลักแหลมเกินจะคิด เอ้า เจ้าไม่ต้องเสี่ยงอันตรายแล้ว”

“แต่ข้าพระองค์เต็มใจ ท่านราชองครักษ์ควรได้รู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รอคอยแต่ท่านเท่านั้น” พันตรีนายนั้นสีหน้ามุ่งมั่น ต้องการจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ

ooooooo


ถูกกักตัวให้อยู่ในตึกรับรองทำให้การิมกดดันจนใกล้ระเบิด พอทหารยืนยามหน้าตาละอ่อนคนหนึ่งเปิดประตูห้องเข้ามา เขากระชากตัวมาต่อยโครมกระเด็นลงไปกองกับพื้นแล้วจะตามไปซ้ำ แต่ชารีฟคว้าแขนไว้ จ้องด้วยสายตาคมกริบเป็นทำนองให้ใจเย็นๆ ก่อนจะหันไปซักถามทหารหนุ่มว่ามาเป็นทหารได้อย่างไร

“มาหาเงิน แต่มานานแล้วเพิ่งได้งวดเดียว”

“อ้าว แล้วทำอย่างไร”

ทหารหนุ่มจะลาออก อยากกลับบ้านไปหาแม่ พูดจบสะอื้นเบาๆ ชารีฟสงสาร ถอดแหวนที่นิ้วให้เขาวงหนึ่งเอาไปแลกเป็นเงินแล้วให้กลับบ้านไปหาแม่ อย่าลืมซื้อของที่เธอชอบไปฝากด้วย ทหารหนุ่มซาบซึ้งใจน้ำตาไหล คำนับหัวแทบโขกพื้น การิมยิ้มแหยๆ จะขอโทษเขาก็ไม่กล้า ได้แต่กำชับว่าห้ามบอกใครว่าถูกซ้อม 

ทหารหนุ่มพยักหน้ารับคำ แต่ถ้ามีใครถามเขาจะบอกว่าสะดุดขาตัวเองหกล้ม...

ทางฝ่ายนายทหารอาสาสมัครที่จะมาส่งข่าวให้ชารีฟเกิดทำผิดพลาด ถูกทหารรับจ้างขององค์โอมานจับพิรุธได้ โดนคุมตัวส่งเข้าวังหลวงเพื่อเค้นเอาความจริง...

ระหว่างรอเข้าเฝ้าองค์โอมาน ชารีฟไม่ปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ฝึกซ้อมการใช้มีดวงเดือนอย่างขะมักเขม้น ขณะที่การิมเอาแต่บ่นว่าเราสองคนคงจะโดนกักขังอยู่ที่นี่ไปจนตาย จังหวะนั้น ตำรวจวังเข้ามาแจ้งว่าองค์โอมานมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วพาทั้งคู่ไปทางตำหนักฤดูร้อนที่ตั้งอยู่ด้านหลัง ชารีฟชักเอะใจ

“จะผ่าตัดที่นั่นหรือ”

ตำรวจวังบอกแค่ว่าไปถึงก็จะรู้เอง ชารีฟในคราบศาสตราจารย์โมฮัมหมัดตั้งข้อสังเกตว่าตำหนักหลังนั้นโปร่งเกินไปไม่เหมาะเป็นห้องบรรทม หรือแม้แต่จะเป็นห้องตรวจโรค ทำไมองค์โอมานถึงรับสั่งให้ไปที่นั่น

“แล้วท่านจะรู้เอง ท่านศาสตราจารย์”

การิมไม่พอใจ ขวางหน้าตำรวจวังไว้ ขู่ถ้าไม่ตอบคำถามจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น ชารีฟต้องส่งสายตาเป็นเชิงปราม การิมจึงยอมหลีกทางให้ ก่อนจะสบตาตอบเป็นทำนองว่าอย่าไปที่นั่น

“เวลานั้นมาถึงแล้วการิม” ชารีฟกระซิบ

ooooooo

ครู่ต่อมา ตำรวจวังพาชารีฟและการิมมาถึงตำหนักฤดูร้อน มีทหารยืนเฝ้าระวังอยู่ตรงทางเข้าสองนาย ทันใดนั้นมีเสียงตบมือดังมาจากด้านใน ตำรวจวังจึงพาทั้งคู่เข้าไป เห็นทหารน้อยใหญ่ยืนเรียงรายเต็มไปหมดรอบๆมีทหารรับจ้าง พร้อมอาวุธครบมือยืนคุมเชิงอยู่ องค์โอมานมองผู้มาเยือนเขม็ง

“ชารีฟน้องของเรา เข้ามาสิ ยินดีต้อนรับสู่ฮิลฟาราอีกครั้ง...เป็นอย่างไร การต้อนรับของกษัตริย์โอมาน พาตัวเข้ามาตรงนี้สิ” สิ้นเสียงรับสั่ง ทหารคุมตัวชารีฟเข้าไปหา ส่วนการิมถูกตำรวจวังล็อกตัวไว้ องค์โอมานมองชารีฟอย่างพิจารณา ก่อนจะชมว่าเหมือนหมอประจำตัวพระองค์มาก แล้วตบแขนเขาอย่างแรง

การิมไม่พอใจ ฮึดฮัดจะเข้าไปช่วย ตำรวจวังรวบตัวไว้แน่นไม่ยอมให้ไป องค์โอมานเย้ยหยันชารีฟว่า ไม่เฉลียวใจบ้างเลยหรือ

“เฉลียวใจเรื่องอะไร”

องค์โอมานรู้แล้วว่า องค์อาหเม็ดจะต้องใช้แผนการนี้เข้ามาลอบทำร้ายพระองค์ และยังรู้อีกว่ากองทัพฝ่ายต่อต้านล้อมฮิลฟาราไว้แล้ว แต่คงจะยึดคืนได้ยาก เพราะพระองค์วางกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือไว้ตามจุดสำคัญๆ ไม่มีใครผ่านเข้าออกแล้วจะพ้นสายตาพวกนั้นไปได้ ชารีฟอยากรู้ว่าองค์โอมานต้องการอะไรกันแน่


“เราอยากจะทำลายนายทหารคู่พระทัยองค์อาหเม็ด... ก็เจ้านั่นแหละชารีฟ นายพลมุสกัตน่ะแก่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็ตาย แต่เจ้ายังหนุ่มแน่นและมีอิทธิพลในหมู่ทหารมาก เจ้าคิดผิดที่ไม่ร่วมมือกับเรา คนหนุ่มย่อมบริหารประเทศได้ดีกว่าคนแก่ องค์อาหเม็ดทรงหวงตำแหน่งจนลืมนึกถึงสังขาร”

“เข้าพระทัยผิดแล้ว องค์อาหเม็ดไม่เคยหวงตำแหน่ง แต่ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ต้องอาศัยความสุขุม รอบคอบ มีเหตุมีผล มีความคิด ใช้สมองไม่ใช่ใช้กำลัง” ชารีฟโต้อย่างไม่เกรงกลัว องค์โอมานโกรธมากตบเขาฉาดใหญ่ที่กล้าตีฝีปาก ชะตาจะขาดอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก

“ข้าพระองค์เป็นทหาร หน้าที่ทำให้ต้องกล้าพร้อมที่จะผจญกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

“ชะ...เล่นลิ้นรึ แผนเจ้าน่ะมันใช้ไม่ได้ มันล้มเหลว มันถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าเรานี่ สั่งความไปบอกถึงเจ้าพี่อาหเม็ดด้วย...เฮ้ย เอาไอ้คนถ่อยนั่นเข้ามา”

ทหารรับจ้างนำตัวนายทหารฝ่ายต่อต้านที่อาสาสมัครนำข่าวมาแจ้งชารีฟเข้ามาในห้อง ชารีฟเห็นสภาพบอบช้ำปางตายของเขาแล้ว ถึงกับโวยวายด้วยความแค้นว่า นี่เป็นฝีมือมนุษย์หรือสัตว์กันแน่ที่ทำแบบนี้ ทหารนายนั้นรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายพูดให้ได้ยินทั่วกันว่า

“กองทัพของเราแพ้ ไม่มีกองทัพอีกแล้ว”

ชารีฟมองตาทหารนายนั้นปราดเดียวรู้ทันทีว่า มีความนัยบางอย่าง ทำทีเข้าไปประคอง เขากระซิบข้างหู

“องค์อาหเม็ด...เข้าเมืองแล้ว รอสัญญาณ...ข้าลาท่านผู้เปรียบเหมือนพ่อ...โชคดีที่มาตายในอ้อมแขนของท่าน” ขาดคำนายทหารก็สิ้นใจ ชารีฟโอบร่างไร้วิญญาณ ของเขาไว้ด้วยความสะเทือนใจ องค์โอมานชี้ให้ทุกคนในห้องดูจุดจบของผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ ชารีฟวางร่างนายทหารลง แล้วลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ พร้อมจะรับจุดจบนั้นเช่นกัน องค์โอมานแดกดันว่ากล้าหาญถึงวินาทีสุดท้ายเลยหรือ

“สายเลือดแห่งราชวงศ์ฮิลฟารายังเข้มข้นในตัวข้าพระองค์”

ในเมื่อชารีฟเป็นทหารและมีฐานะเป็นพระญาติขององค์อาหเม็ด ดังนั้น องค์โอมานยินดีจัดให้เขาได้ตายอย่างสมเกียรติด้วยฝีมือของพระองค์เอง แล้วพยักพเยิดให้ซาอิ๊บส่งมีดวงเดือนให้คนละเล่ม ชารีฟรู้ตัวดีว่าเป็นรองและอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไป จึงขอทำละหมาดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการต่อสู้ องค์โอมานอนุญาตแล้วถอยไปยืนรอ หลังจากทำละหมาดเสร็จ ชารีฟยืนขึ้น หลับตาประสานมือกันไว้ ภาวนาอยู่ในใจว่า

“ข้าพระองค์พันเอกชารีฟ ขอน้อมคารวะพระองค์ผู้เป็นใหญ่ และขอสรรเสริญเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพระองค์ไม่ต้องฆ่าคนในขณะที่ควรจะช่วยชีวิตเขา...ถ้าข้าพระองค์ต้องผ่าตัด องค์โอมานรอดแน่”

ooooooo

การต่อสู้ระหว่างชารีฟและองค์โอมานเริ่มต้นขึ้น องค์โอมานมีฝีมือเหนือกว่าเป็นฝ่ายรุกไล่ชารีฟจนถอยร่นไม่เป็นขบวน คมมีดตวัดถูกเสื้อของเขาขาดเป็นทางยาว พระองค์เห็นคู่ต่อสู้มีสีหน้าตื่นตระหนกยิ่งได้ใจ ฟันใส่ไม่ยั้ง ชารีฟได้แต่ตั้งรับและพลาดเป็นครั้งที่สอง ถูกมีดฟันแขนเป็นแผลฉกรรจ์

ทหารรับจ้างเห็นเจ้านายได้เปรียบกระแทกอาวุธกับพื้นเป็นจังหวะอย่างฮึกเหิม การิมกำหมัดแน่น อยากจะเข้าไปต่อสู้แทน แต่ถูกตำรวจวังคุมตัวแจ องค์โอมานเห็นฝ่ายตรงข้ามเพลี่ยงพล้ำ ฟาดฟันมีดในมือหนักขึ้นอีก ชารีฟถูกคมมีดเฉือนไปทั่วตัว แต่ยังกัดฟันสู้

“เราจะแหวะเนื้อออกทีละชิ้น ได้ยินไหม เนื้อเจ้าจะหลุดออกมาทีละชิ้นๆ” องค์โอมานย่ามใจรุกเข้าหา ชารีฟตั้งหลักได้ รอจังหวะสวน ทันทีที่ศัตรูเปิดช่อง เขาแทงมีดเข้าอกองค์โอมานมิดด้ามถึงกับทรุดฮวบ พวกทหารที่ฮึกเหิมเมื่อครู่พากันเงียบกริบ ชารีฟแทบจะทรงตัวไม่อยู่ พยายามรวบรวมกำลังเท่าที่มีตะโกนลั่น

“องค์อาหเม็ดจงทรงพระเจริญ...การิมให้สัญญาณด่วน”

การิมไม่รอช้าวิ่งไปที่หน้าต่างห้อง ยิงพลุสัญญาณขึ้นฟ้า แสงสีแดงส่องสว่างไปทั่ว จากนั้นพลุลูกที่สองและลูกที่สามตามขึ้นไปติดๆ องค์อาหเม็ดซึ่งรออยู่แล้วเห็นสัญญาณพลุ จึงประกาศให้ได้ยินกันทั่วว่า คนทรยศถูกฆ่าตายแล้ว มีเสียงบอกต่อๆกันไปจนได้ยินกันทั่วทั้งกองทัพว่า

“องค์โอมานตายแล้วๆ ท่านราชองครักษ์ฆ่าองค์โอมานแล้ว”...

ขณะที่ทหารฝ่ายต่อต้านรุกคืบเข้ายึดฮิลฟารา ทหารรับจ้างขององค์โอมานเริ่มระส่ำระสาย บางคนก็วิ่งหนี บ้างก็วางอาวุธยอมแพ้ การิมถลาเข้ามาดูชารีฟที่นอนหน้าซีดใกล้หมดสติ ค่อยๆพยุงให้ลุกขึ้นจะพาไปส่งโรงพยาบาล ราชองครักษ์หนุ่มไม่วายหันไปมองร่างไร้วิญญาณขององค์โอมานด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“องค์โอมาน ข้าพระองค์จำเป็นต้องฆ่าท่าน อภัยด้วยเถิด”...

เมื่อการิมประคองชารีฟมาถึงหน้าตึกรับรอง กองทหารของนายพลมุสกัตมาล้อมวังหลวงไว้หมดแล้ว จังหวะนั้น มีรถจี๊ปคันหนึ่งแล่นมาจอดตรงหน้า การิมดีใจที่เห็นนายพลมุสกัต ร้องบอกให้ช่วยพาชารีฟไปส่งโรงพยาบาลด้วย ท่านนายพลรีบลงจากรถมาช่วยประคองปีกอีกข้าง ชารีฟจับมือเขาไว้ มองหน้าเป็นเชิงถามว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง

“เรายึดได้หมดทุกจุดแล้ว กำลังออกแถลงการณ์”

ราชองครักษ์หนุ่มยิ้มพอใจให้กับชัยชนะ ก่อนจะหมดสติไป...

ใน เวลาต่อมา นายพลมุสกัตและการิมพาชารีฟมาส่งโรงพยาบาล หมอสั่งให้เจ้าหน้าที่นำตัวเข้าห้องผ่าตัดโดยด่วน ท่านนายพลกำชับหมอเจ้าของไข้ว่าท่านราชองครักษ์จะต้องรอด เพราะถ้าเขาตาย ฮิลฟาราต้องวุ่นวายแน่ หมอไม่รับปาก แต่จะทำให้ดีที่สุด...

ทันทีที่ ทราบข่าวองค์โอมานสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือชารีฟ แต่ตัวเขาเองก็บาดเจ็บสาหัสอาการเป็นตายเท่ากัน เจ้าหญิงสุไบดาถึงกับเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น...

ในเวลาเดียวกันที่ โอเอซิสใกล้เมืองอานาอิชา ข่าวการยึดอำนาจคืนได้สำเร็จรู้ถึงหูพระชายาในองค์อาหเม็ด แม้จะพอใจกับข่าวน่ายินดีนี้แต่ไม่วายกังวลใจเพราะทราบมาว่าท่านราชองครักษ์ บาดเจ็บสาหัสยังอยู่ในห้องผ่าตัด พระองค์ไม่ยอมบอกเรื่องอาการบาดเจ็บของชารีฟให้มิเชลล์รู้เนื่องจากไม่อยาก ทำให้เสียขวัญ ได้แต่บอกเพียงว่ากองทัพฝ่ายเราได้รับชัยชนะ ให้เธอ เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวอย่างเป็นทางการได้แล้ว มิเชลล์ดีใจสุดๆ แต่พอเห็นแววตามีพิรุธของพระชายา อดถามไม่ได้

“พระชายาเพคะ มีอะไรที่ทรงเป็นกังวลหรือเปล่าเพคะ หม่อมฉันเห็นพระพักตร์...”

“งั้น หรือ หน้าตาเราเป็นกังวลหรือ คงใช่ เราคงจะกังวลว่าเมื่อไหร่จะได้กลับฮิลฟาราเสียที” พระชายาตรัสจบ หันหลังจากไปทันที มิเชลล์มั่นใจว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่ๆ แอบสะกดรอยตาม เห็นพระองค์กระซิบกระซาบบางอย่างกับนางกำนัลคนสนิทด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีเสียงเรียกชื่อชารีฟแว่วมาเข้าหู หญิงสาวใจคอไม่ดี เกรงจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเขา...

ความรักและความคิดถึงมีพลัง มากมายนัก แม้ยามที่ชารีฟหมดสติด้วยฤทธิ์ยาสลบอยู่ในห้องผ่าตัด จิตใต้สำนึกของเขาเห็นแต่ภาพของมิเชลล์ตลอดเวลา ทำให้มีกำลังใจจะมีชีวิตต่อไปเพื่อให้ได้พบเธออีกครั้ง

ที่มา:ไทยรัฐ

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 8

อ่านเรื่องย่อละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 8

ครู่ต่อมา ชารีฟและการิมมาถึงรถบรรทุกเป้าหมาย อับดุลลาคนขับรถถามรหัสชารีฟว่ามีขนมปังหรือเปล่า เมื่อผู้มาเยือนตอบรหัสได้ถูกต้อง เขาจึงบอกให้ขึ้นไปซ่อนตัวด้านหลังกองสินค้าท้ายรถ ตรงนั้นจะมีช่องว่างพอให้ซุกตัวได้ แต่ต้องนั่งนิ่งๆไปไหนไม่ได้

ชารีฟอยากรู้ว่าอับดุลลาจะพาไปถึงไหน

“ถึงเมืองท่าข้างหน้า แล้วจะไปขึ้นเรือ...ไปขึ้นเรือนะ”

การิมบ่นพึมพำทำไมต้องพูดซ้ำด้วย ชารีฟส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ให้พูดมาก อับดุลลาแจกแจงอีกว่า พวกเราจะพักตามทางสองครั้งที่โรงกาแฟริมถนน กว่าจะถึงเมืองท่าที่ว่าคงเป็นพรุ่งนี้เช้า ทุกคำพูดท้ายประโยคเขาจะพูดซ้ำกันสองครั้งทุกคำ ชารีฟพยักหน้ารับรู้ แล้วปีนขึ้นไปบนท้ายรถบรรทุกโดยมีการิมตามติด ไม่วายบ่นอีกครั้งว่าทำไมคนขับรถต้องพูดอะไรซ้ำๆน่ารำคาญ

“บอกเขาให้หยุดพูดและไม่ต้องพาเราไป เอาไหม” ชารีฟต่อว่าแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ตั้งข้อสังเกตว่า เราคงต้องนั่งรถฝ่าทะเลทรายไป การิมหวังว่าระหว่างทางคงไม่เจอพายุ พลันภาพตอนฝ่าพายุทะเลทรายกับมิเชลล์ผุดขึ้นมาในสมองของชารีฟ เขาหยิบแหวนเปียรุสขึ้นมาจูบ ทำให้คลายความคิดถึงถึงเจ้าของไปได้บ้าง...

มิเชลล์เองก็รู้สึกไม่ต่างจากชารีฟ สีหน้าหม่นหมองตั้งแต่เขาจากไป จนพระชายาในองค์อาหเม็ดรับรู้ถึงความทุกข์ใจของเธอได้ ปลอบว่าชารีฟจะต้องรักษาชีวิตตัวเองเพื่อกลับมาหาเธอจนได้...

รถบรรทุกที่ชารีฟและการิมซ่อนตัวอยู่ แวะรับสินค้าตามรายทางจนข้าวของเต็มท้ายรถ การเดินทางไม่ราบรื่นเท่าใดนักเมื่อถูกทหารฝ่ายกบฏสองนายเรียกให้หยุด ด้วยความที่ชอบพูดซ้ำๆเป็นนิสัย ทำให้ทหารคิดว่าอับดุลลามีพิรุธ จัดแจงขึ้นไปค้นท้ายรถ ข้าวของมากมายทำได้แค่แหวกๆดู ไม่เห็นอะไรน่าสงสัยขยับจะลง พลันเหลือบเห็นรองเท้าข้างหนึ่งของการิมโผล่ออกมาจากกองผ้า ทหารชะโงกไปเรียกเพื่อนที่ยืนเฝ้าอับดุลลาให้มาดู

ชารีฟสะกิดการิมให้รีบถอดรองเท้าได้ทันท่วงที ก่อนที่ทหารคนนั้นจะใช้ดาบปลายปืนจิ้มไปที่รองเท้าแล้วงัดลอยไปตกนอกรถ การิมถึงกับถอนใจโล่งอกที่รอดมาได้อย่างเฉียดฉิว แม้จะเหลือรองเท้าแค่ข้างเดียว

ooooooo

รุ่งสางของวันถัดมา อับดุลลาขับรถมาถึงเมืองท่าเป้าหมาย แจ้งกับชารีฟและการิมว่าต้องรอที่นี่จนกว่าจะค่ำ การิมแปลกใจจะต้องรอทำไม นี่เพิ่งเช้ามืดทำไมไม่ไปกันเลย

“อยากเจอทหารหรือตำรวจล่ะ แถวนี้มีเยอะเลย อยากเจอไหม” อับดุลลาเสียงเขียว

“รอที่ไหน ในรถนี่หรือ”

อับดุบลาจะให้ทั้งคู่ไปรอในโกดังเก็บของที่ท่าเรือ ครู่ต่อมา  เขาพาชารีฟกับการิมไปซ่อนตัวในโกดังหลังท้ายสุดของท่า และแจ้งว่าค่ำๆเจ้าของเรือจะมารับ แล้วขยับจะไป ชารีฟเรียกไว้ หยิบเงินค่าจ้างให้ อับดุลลาไม่ยอมรับเงิน ที่ทำไปทั้งหมดไม่ได้ต้องการค่าจ้าง การิมแปลกใจถ้าไม่อยากได้เงินแล้วทำไปเพื่ออะไร

“ข้าพเจ้า เป็นคนของราชองครักษ์...ข้าพเจ้านับถือ ชื่นชม บูชาท่านราชองครักษ์พันเอกชารีฟมาก”

การิมสบตาชารีฟก่อนจะหันไปแดกดันอับดุลลา “เคยเห็นหรือเปล่า ท่านราชองครักษ์น่ะ”

“ท่านเยาะหยันข้าพเจ้ารึ...ถึงข้าพเจ้าจะไม่เคยเห็นตัวท่านราชองครักษ์ แต่ข้าพเจ้ารู้เรื่องของท่านทั้งหมด พวกทหารตามป้อมชายแดนทุกคนรู้จักท่านเพราะได้รับสิ่งของเครื่องใช้ที่ท่านอนุเคราะห์มาให้เสมอๆ เรารู้ว่าท่านเป็นคนอย่างไร เราเชื่อ เราเคารพท่าน ไม่เกี่ยวกับการเคยเห็นหรือไม่เคยเห็นตัวท่านหรอก” อับดุลลาพูดใส่หน้าการิมแล้วผละจากไปอย่างขุ่นเคือง

การิมยิ้มแหยๆ ก่อนจะลุกไปเอากระดาษมาปูให้ชารีฟนั่งด้วยท่าทางนอบน้อม เขาทักท้วงว่าตอนนี้เขาไม่ใช่ราชองครักษ์

“ยามปลอดคนข้าพเจ้าอดไม่ได้ ยิ่งได้รู้เห็นความสำคัญของท่านอย่างนี้ยิ่ง...”

“การิม กองทัพไม่ได้อยู่ได้ด้วยนายพลคนเดียว ทุกคนรวมกันก่อให้เกิดเป็นกองทัพ...พรุ่งนี้ ขึ้นจากเรือใครจะพาไปบ้านศาสตราจารย์โมฮัมหมัด”

ได้ความว่าญาติที่ไว้ใจได้ของการิมจะมารับ ชารีฟอยากให้พาไปดูหน้าท่านศาสตราจารย์ก่อน

ooooooo


ญาติของการิมจัดให้ตามคำขอของชารีฟโดยพาการิมและชารีฟมาซุ่มอยู่แถวหน้าบ้านศาสตราจารย์โมฮัมหมัด เห็นรถของท่านแล่นมาจอด คนขับรถลงมาเปิดประตูให้เจ้านาย ทันทีที่เห็นหน้าเป้าหมายชัดเจนชารีฟกับการิมถึงกับตะลึงที่หน้าตาเขาคล้ายชารีฟมากเพียงแต่แก่กว่าเล็กน้อย การิมพึมพำเบาๆ

“บอกเป็นฝาแฝดยังเชื่อเลย”

จากนั้น ทั้งสามคนพากันมายังห้องพักซึ่งใช้เป็นกองบัญชาการชั่วคราว การิมจัดการแต่งหน้าให้ชารีฟดูเป็นคนสูงวัยให้เหลือเค้าศาสตราจารย์โมฮัมหมัดน้อยที่สุด แล้วเอากระจกให้เขาส่องดูตัวเอง

“เมื่อท่านศาสตราจารย์มองเห็นหน้าคนรับใช้คนใหม่ เขาจะต้องไม่ตกใจว่าหน้าเหมือนเขา เราจึงต้องแต่งให้แปลกกว่าหน้าจริงของท่าน” การิมอธิบาย

“เขาไม่ตกใจหรอกเพราะนี่เรายังจำตัวเองไม่ได้เลย” ชารีฟยิ้มพอใจ...

ในเวลาต่อมา ญาติของการิมพาชารีฟและการิมไปพบศาสตราจารย์โมฮัมหมัดที่บ้าน แนะนำว่าเป็นคนรับใช้คนใหม่ที่ท่านสั่งให้หา ศาสตราจารย์มองสำรวจชารีฟสลับกับการิมไปมา เห็นชารีฟมองตอบด้วยสายตาซื่อๆรู้สึกถูกใจ ถามว่าคนไหนที่จะมาเป็นคนรับใช้คนใหม่ ชารีฟค้อมหัวให้อย่างนอบน้อมบอกว่าเป็นเขาเอง

ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดยิ้มพอใจ เดินนำชารีฟเข้าบ้าน ชายผู้อ่อนวัยกว่ามัวแต่มองกิริยาท่าทางของเจ้านายคนใหม่ไม่ทันดูทาง เดินสะดุดพรมหน้าคะมำกระแทกเขาเต็มแรงจนเซถลา ชารีฟพยายามคว้าตัวไว้ แต่กลับเสียหลักล้มลงไปด้วยกัน ศาสตราจารย์จ้องชารีฟเขม็ง เขารีบตีหน้าเซ่อทำตาปริบๆ ท่านถามเสียงเข้มว่าใครควรจะลุกขึ้นก่อน ชารีฟทำหน้าซื่อตาใสไม่รู้ว่าใครต้องลุกขึ้นก่อน

“เจ้านั่นแหละลุกขึ้นก่อน แล้วประคองเราให้ลุกขึ้นในฐานะที่เราเป็นเจ้านายของเจ้า”

“อ้อ...จริงสิ ขอโทษนายท่าน” ชารีฟดึงตัวเจ้านายขึ้นมา รีบไปหยิบกระเป๋าเอกสารที่กระเด็นตกพื้นแล้วจ้ำพรวดๆออกไป ศาสตราจารย์ร้องเรียกให้กลับมาก่อน สอนว่าห้ามเดินนำเจ้านาย แล้วเดินขากะเผลกนิดๆนำไป ชารีฟจำท่าเดินของเขาไว้ ก่อนจะสาวเท้าตาม อยู่ๆ ศาสตราจารย์หันขวับมาถามว่าเขาเป็นใคร

ชารีฟไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งโหยง “ข้าพเจ้า...เอ่อ ไม่เข้าใจ”
“เจ้าตกใจง่าย เจ้าดูผิดปกติ มีพิรุธ ข้าชักสงสัยแล้ว”

“ให้อภัยข้าพเจ้าเถิดท่านศาสตราจารย์ ข้าพเจ้าทราบแต่ว่าท่านเป็นหมอใหญ่...ใหญ่มาก ท่านเก่งมากใครๆก็ร่ำลือว่าท่านเป็นหมอเทวดา ข้าพเจ้าไม่เคยอยู่ใกล้คนใหญ่โตอย่างนี้ จึงประหม่ายิ่งนัก”

ศาสตราจารย์มีท่าทีผ่อนคลาย แต่ไม่วายซักอีก ว่าทำไมคนจัดหางานถึงเลือกเขามารับใช้ตน ชารีฟ ขอร้องทางนั้นเอง เนื่องจากตัวเองเป็นคนโง่เซ่อซ่า อยากจะฉลาดเหมือนคนอื่นบ้างก็เลยขอมาอยู่กับผู้ปราดเปรื่องอย่างท่าน ศาสตราจารย์หัวเราะชอบใจ ชารีฟแสร้งหัวเราะเสียงดังตามไปด้วย เจ้านายคนใหม่หยุดกึก

“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าหน้าเหมือนข้า”

“ก็...มีคนพูดเหมือนกับนายท่าน”

“ก็ไม่เหมือนทีเดียวหรอก แค่มีเค้า เอาล่ะเจ้าไปได้” ศาสตราจารย์โบกมือไล่ ชารีฟลอบถอนใจโล่งอก

ooooooo

ตลอดเวลาที่อยู่รับใช้ศาสตราจารย์โมฮัมหมัด ชารีฟคอยสังเกตและจดจำท่าทาง วิธีเดิน แม้กระทั่งกิริยาอาการเวลาที่เขาเผลอตัว เช่น ตอนใช้ความคิด เขามักจะใช้นิ้วชี้ทาบสันจมูก และเขาจะไม่ยิ้มเห็นฟัน แต่จะยิ้มแค่มุมปากเท่านั้น ใช้เวลาไม่นานนัก ชารีฟก็จดจำทุกอย่างได้ขึ้นใจ...

เช้าวันหนึ่งขณะที่ชารีฟถือกระเป๋าเอกสารตามมาส่งเจ้านายขึ้นรถไปทำงาน การิมซึ่งซุ่มดูอยู่แถวนั้น รอจนรถของศาสตราจารย์ลับสายตา รีบเข้ามาทักแล้วตามเขาเข้าไปในบ้าน จากนั้น ชารีฟแสดงท่าทาง เลียนแบบศาสตราจารย์โมฮัมหมัดให้การิมดู เริ่มจากประคองกล้องยาสูบด้วยมือซ้าย หมุนไปมานิดหน่อย แล้วยกขึ้นแตะริมฝีปากก่อนจะคาบไว้ที่มุมปาก

“เขาทำอย่างนี้ทุกครั้งก่อนจะสูบ ต้องหมุนไปมา อย่างนี้...เขาไม่เคยยิ้มเห็นฟัน ยิ้มมุมปากทุกครั้ง” ชารีฟพูดจบลุกขึ้นเดินด้วยท่าทางของศาสตราจารย์โมฮัมหมัดไม่มีผิดเพี้ยน “ขาซ้ายเขาไม่ดีเพราะตกม้าตั้งแต่ยังเด็กต้องเดินตะแคงข้างนิดๆ ไม่สังเกตอาจไม่รู้หรอก แล้วเวลาเขาใช้ความคิด เขาจะเอานิ้วชี้ทาบสันจมูกแบบนี้นะแล้วก็คิด” ชารีฟทำท่าทางให้ดูประกอบคำพูด

แม้จะพอใจที่เลียนแบบทุกอิริยาบถได้เหมือนเจ้าตัวมาก แต่ชารีฟกลับมีสีหน้าหม่นหมอง บ่นกับการิม ว่าภารกิจครั้งนี้ทำให้เขาทุกข์ใจมาก เพราะจรรยาบรรณแพทย์ในตัวเขายังมีอยู่เต็มเปี่ยม การิมพลอยเศร้าไปด้วย ชารีฟสลัดความทุกข์ใจทิ้ง ปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วถามว่ามีข่าวอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างไหม

“ไม่มี ทุกอย่างตามแผนเดิม อีกสิบห้าวันท่าน ศาสตราจารย์จะออกเดินทาง”...

ดึกวันเดียวกัน ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดเพิ่งกลับจากทำงาน ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง ชารีฟกุลีกุจอยกน้ำชาชงใหม่ๆมาวางให้ ท่านมองเขาอย่างพอใจ

“เบื่อไหม ต้องรับใช้ผิดเวลา”

“ไม่เบื่อเลย ข้าพเจ้าเต็มใจอย่างมากเลย นายท่าน”

ศาสตราจารย์อดสงสัยไม่ได้ว่าชนเผ่าเบดูอินซึ่งรักอิสระไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งอย่างชารีฟ เหตุใดถึงมาทำงานอยู่กับที่  เขาอ้างว่าเบื่อชีวิตพเนจร อยากหาความเจริญใส่ตัว จึงมารับใช้คนเก่งอย่างท่าน

“เราจะเดินทางไปทำงานพิเศษในดินแดนของเจ้า ค่าจ้างนั้นแพงมากพอที่เราจะมาลงทุนในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ถ้าสำเร็จจะให้เจ้าทำงานด้วย”

“ขอบพระคุณนายท่าน...นายท่านจะไปทำงานพิเศษนี้เมื่อไหร่” ชารีฟแกล้งถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว...

ถึงจะทำตัวให้ดูโง่ๆ เซ่อๆ แต่เรื่องการปรนนิบัติรับใช้ชารีฟทำได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง ทำให้ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดพอใจและไว้วางใจเขามากขึ้นทุกขณะ

ooooooo

ณ ตำหนักหลวงเมืองฮิลฟารา องค์โอมานล่วงรู้แผนการของฝ่ายตรงข้ามหมดแล้ว จึงประกาศกลางที่ประชุมเหล่าทหารน้อยใหญ่เป็นนัยๆว่า โรคไส้เลื่อนทำให้พระองค์เจ็บปวดมากขึ้นเห็นทีจะต้องรีบผ่าตัด แล้วหยิบมีดวงเดือนขึ้นมาลูบคมเล่น

“เปลี่ยนเวลาผ่าตัดให้เร็วขึ้น เราคอยไม่ไหวแล้ว สิบห้าวันนานไป” สิ้นเสียงรับสั่ง องค์โอมานสะบัดมีดในมือไปมา ยิ้มอย่างมีเลศนัย...

ข่าวเร่งให้มีการผ่าตัดรู้ถึงศาสตราจารย์โมฮัมหมัดในค่ำวันเดียวกัน จึงสั่งให้ชารีฟจัดกระเป๋าเดินทาง ให้เตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้พออยู่ได้สองอาทิตย์และสั่งให้ชารีฟเตรียมตัวไปกับเขาด้วย เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้ ชารีฟทั้งตกใจทั้งเครียดแต่ต้องทำสีหน้าเป็นปกติ รอจนศาสตราจารย์เข้านอนแล้ว ลอบออกไปพบการิมที่บ้านพักเพื่อแจ้งข่าวสำคัญนี้ แล้วลากเขาออกไปด้วยกัน

ครู่ต่อมา ชารีฟและการิมมาถึงร้านขายขนมปังในเมืองซึ่งเจ้าของร้านเป็นสายของฝ่ายองค์อาหเม็ด แล้วกดกริ่งหน้าประตูร้านยาวสองครั้งสั้นสามครั้งเป็นรหัสตามที่ตกลงกันไว้ อึดใจเดียวเจ้าของร้านเปิดประตูออกมาโวยใส่จะมาซื้อขนมปังอะไรป่านนี้ ขายหมดตั้งแต่บ่ายแล้ว มีแต่ขนมปังขึ้นราจะเอาไหม

“ถึงจะเป็นขนมปังขึ้นราเขียวเป็นจ้ำๆ ปิ้งก็ไม่สุก กินแทบไม่ลง แต่เราก็จะซื้อ”

เจ้าของร้านพยักหน้าอย่างรู้กัน แล้วพาทั้งคู่ไปยังห้องเล็กๆ หลังร้าน ถามชารีฟว่ามีเรื่องอะไร เขาแจ้งว่าท่านศาสตราจารย์จะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า เจ้าของร้านตกใจ

“หา!...พรุ่งนี้ ไม่ใช่อีกสิบห้าวันหรือ ตายแล้วตายแน่ๆ จะทำอะไรทันล่ะ กองคาราวานกว่าจะเดินทางถึงกิโลเมตร 48 ก็ใช้เวลาอย่างน้อย 3 วันไม่มีทางทันหรอก เปลี่ยนแปลงกะทันหันอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ทำงานอยู่คนเดียวนี่”

“ท่านต้องทำอะไร”

“ข้าพเจ้าต้องจัดกองคาราวานไปที่กิโลเมตร 48 พอเปลี่ยนตัวแล้ว ข้าพเจ้ารับศาสตราจารย์และนำไปให้อับดุลลาที่โอเอซิสบาฮารี”

ชารีฟนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามเจ้าของร้านขนมปังว่า มีเครื่องรับส่งวิทยุใช่ไหม เขามีแต่ใช้การไม่ได้ การิมถึงกับหน้าเสีย มองชารีฟเป็นเชิงถามว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี...

ในเวลาเดียวกัน องค์โอมานร้อนใจอยากให้ชารีฟมาติดกับในเร็ววัน เรียกซาอิ๊บมาถามจะมีทางรู้ได้อย่างไรว่าฝ่ายโน้นรู้ว่าเราเปลี่ยนแผน เขาทูลว่า มีทางเดียวที่พวกนั้นจะติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วคือทางวิทยุ

“สั่งตรวจสอบวิทยุทุกคลื่นตลอด 24 ชั่วโมง” องค์โอมานสั่งการทันที

ooooooo

ขณะที่องค์โอมานสั่งให้ดักฟังคลื่นวิทยุ ชารีฟกำลังซ่อมเครื่องรับส่งวิทยุอยู่ในร้านขนมปังอย่างขะมักเขม้นโดยมีการิมกับเจ้าของร้านขนมปังคอยเอาใจช่วย ซ่อมอยู่นานสองนานยังไม่สำเร็จ ราชองครักษ์หนุ่มเหลือบมองนาฬิกาแล้วถึงกับหน้าเคร่งเครียด

“ใกล้ตีห้า ใกล้เวลาท่านศาสตราจารย์ตื่น...ลองอีกที” ชารีฟพูดจบ ก้มหน้าก้มตาซ่อมเครื่องรับส่งวิทยุต่อไป เหงื่อเริ่มผุดตามใบหน้า แต่นัยน์ตายังคงมุ่งมั่น เจ้าของร้านไม่รู้จะช่วยอะไรได้ คุกเข่าสวดอ้อนวอนขอให้สำเร็จ สักพัก มีแสงสีแดงปรากฏที่หน้าจอเครื่องรับส่งวิทยุ พร้อมกับมีเสียงดังขึ้น

“ดาวเหนือ สุกสกาว ดาวเหนือเปลี่ยน”

“...ฟังเรานะดาวเหนือ จะเกิดพายุทรายก่อนกำหนด คำนวณแล้วว่าจันทร์เต็มดวงเป็นวันที่สามนับจากคืนวันนี้ พายุทรายจะผ่านก่อนกำหนด...เปลี่ยน...ดาวเหนือ รอรับสถานการณ์พายุ บอกกองคาราวานใหญ่ด้วยว่าให้นำสินค้าเข้ามาได้ตามสัญญา” ชารีฟส่งข่าวเสร็จ รีบร้อนกลับไป...

เมื่อมาถึงบ้านศาสตราจารย์โมฮัมหมัด พระอาทิตย์เริ่มฉายแสงรำไร ชารีฟนั่งลงหลับตาสวดภาวนา

“ขอนมัสการองค์อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ ขอได้โปรดเมตตาให้ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งที่ควรทำได้ราบรื่น เพราะพระองค์ประทานพรให้อย่างแท้จริง” ชารีฟลืมตาด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างตอนที่ส่งวิทยุ พลันสายตาเหลือบไปเห็นไฟในห้องศาสตราจารย์โมฮัมหมัดเปิด รู้ทันทีว่าเจ้านายตื่นแล้ว รีบวิ่งไปดู เห็นเขาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยรอท่าอยู่ ชารีฟแก้ตัวว่าตื่นสายไปหน่อย

“ไม่หน่อยล่ะ สายไปมาก” ศาสตราจารย์เสียงเขียว

“ข้าพเจ้าขอโทษท่านอย่างมาก ความผิดนี้ยิ่งใหญ่นัก ท่านลงโทษข้าพเจ้าได้ทุกอย่าง”

“คิดว่าควรจะถูกลงโทษอย่างไร” ศาสตราจารย์จ้องหน้าชารีฟเขม็ง ก่อนจะเดินออกจากห้อง ชารีฟคว้ากระเป๋าใส่เสื้อผ้าของเจ้านายและของตัวเองตามไปอย่างรวดเร็ว
พอมาถึงรถที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดหันมาบอกชารีฟว่าไม่ต้องไปแล้ว ตนจะไปคนเดียว แล้วคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าไปจากมือเขา ส่งให้คนรับใช้อีกคนหนึ่งเอาไปใส่ท้ายรถ ชารีฟถึงกับหน้าถอดสี การิมในคราบคนขับรถเดินมาเปิดประตูรถให้ ศาสตราจารย์จะก้าวขึ้นรถ ชะงัก หันขวับมามอง

“เจ้าไม่ใช่คนขับรถของเรานี่”
“เขาป่วยกะทันหัน นายท่าน อยู่ๆก็อ่อนเพลียอย่างแปลกประหลาด ทรงตัวยืนไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นญาติของเขา...เขาขอร้องให้มาขับแทน” การิมปั้นเรื่องเป็นฉากๆ

“เราไม่แน่ใจหรอก ทางไกลตั้งแปดสิบกิโลเมตรไปถึงริมฝั่งทะเลเชียวนะ”

การิมคุยอวดว่ารู้จักเส้นทางดี รู้ว่าตรงไหนเป็นทรายร่วนตรงไหนเป็นทรายโคลน ขอให้ได้วางใจแม้จะไม่มั่นใจนัก แต่ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดไม่มีทางเลือกจำต้องขึ้นรถ สารถีจำเป็นโค้งอย่างสุภาพก่อนจะปิดประตูรถให้ แล้วอ้อมไปนั่งประจำที่คนขับ รอให้ชารีฟที่ยืนรออยู่ตรงประตูรถด้านหน้าอีกฝั่งหนึ่งขึ้นรถ

“เอ้า ไปเสียที รออะไรอยู่ เขาไม่ไป เจ้าออกรถได้แล้ว” ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดสั่งเสียงเข้ม การิมไม่มีทางเลือกจำต้องขับรถออกไป ชารีฟมองตามด้วยสีหน้าผิดหวัง แผนการที่อุตส่าห์เตรียมมาอย่างดีพังไม่เป็นท่า ตัดสินใจจะไปส่งข่าวให้ทางองค์อาหเม็ดทราบ ยังไม่ทันจะขยับไปไหน รถของศาสตราจารย์วกกลับมาจอดรับ

“ทีหลังอย่าทำผิดอย่างนี้อีก เราต้องการให้จำ...จำไว้ว่าถ้าตื่นไม่ทันเจ้าจะโดนลงโทษอย่างนี้...ขึ้นรถได้”

ชารีฟคำนับอย่างนอบน้อม แล้วขึ้นนั่งเบาะหน้าคู่กับคนขับ เหลือบมองการิมเป็นทำนองว่าเกือบไปแล้ว

“เจ้าควรรู้ว่าเราขาดเจ้าไม่ได้ ไม่มีเจ้าไปด้วย ใครจะช่วยเราล่ะ รู้ไหมว่าเจ้ามาทำให้เราเสียนิสัยที่จะอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเจ้า” ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดพูดจบ หัวเราะชอบใจ

ooooooo

สนใจคลิก


ขณะที่ชารีฟรู้สึกได้ถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล องค์อาหเม็ดเองก็จับพิรุธได้เช่นกัน เรียกประชุมเหล่าทหารเพื่อแจ้งให้รู้ว่า พระองค์สงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามรู้แผน การของพวกเราแล้ว ทุกคนตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรพระเจ้าข้า” เจ้าชายอับดุลลามององค์อาหเม็ดอย่างรอคำตอบ

“ไม่มีใครสังเกตหรือว่าคลื่นวิทยุมันติดขัดตลอดเวลา เหมือนมีคลื่นรบกวน มันไม่เคยเป็น ถึงเราจะรู้หรือไม่รู้แน่ว่ามีคนดักฟังหรือเปล่า แต่ต้องคิดอะไรในทางร้ายที่สุดไว้ก่อน ไม่มีใครเสียอะไรมีแต่ได้ ถ้ามันเกิดเราก็ป้องกันไว้แล้ว แต่ถ้าไม่เกิด เสียหายตรงไหนถ้าเราป้องกันไว้ก่อน เอาล่ะ ใครมีความเห็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าพระองค์จะเริ่มส่งทหารเข้าฮิลฟารา” นายพลมุสกัตกราบทูล

องค์อาหเม็ดต้องการให้ส่งทหารไปทันที และต้องมีจำนวนมากเป็นสองเท่าของที่เตรียมการไว้...

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดกำลังหลับสบายอยู่ที่เบาะหลังรถ เมื่อการิมขับรถมาจอดหน้ากระโจมนัดพบกลางทะเลทราย ชายฉกรรจ์ 3 คน ซึ่งรอท่าอยู่ก่อนแล้วปราดเข้ามาประชิดตัวศาสตราจารย์ ซึ่งตกใจตื่นเพราะเสียงเอะอะ พวกนั้นลอกคราบเขาออกทีละชิ้นส่งให้ชารีฟแล้วเอาเสื้อชุดใหม่สวมให้

ไม่นานนัก ชารีฟซึ่งได้รับการแปลงโฉมจากแม็กซ์ ช่างแต่งหน้าให้ดาราละครเวทีชาวต่างชาติ เดินออกจากกระโจม พร้อมกับคาบกล้องยาสูบสวมแว่นดำ เข้ามาหาศาสตราจารย์โมฮัมหมัดด้วยหน้าตาและกิริยาท่าทาง เหมือนเขาไม่มีผิดเพี้ยน ศาสตราจารย์ผู้ชาญฉลาดเดาออกทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

“พวกแกจะทำอย่างนั้นไม่ได้ องค์โอมานจะรู้ว่าแกไม่ใช่หมอ”

กรุณาใจเย็นๆ ท่านศาสตราจารย์ องค์โอมานจะไม่ตายด้วยมีดผ่าตัดหรอก ถึงจำเป็นจะต้องผ่า เรานี่แหละจะผ่าให้”

“อย่าทำเลย วงการแพทย์ทั้งโลกจะมัวหมองจากการกระทำของเจ้า เราไม่ห่วงชื่อเสียงเรา แม้ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ตาม ซึ่งเราไม่รู้ในนามของเรา...เราเสียชื่อได้ทุกเรื่อง แต่ขออย่าให้เรื่องแพทย์ประหารคนไข้บนเตียงผ่าตัด อย่าฆ่าคนที่เขากำลังมอบชีวิตให้เจ้าและรอคอยความหวังจากเจ้า ขณะที่เจ้าถือมีดผ่าตัด เจ้ามีจรรยาบรรณแพทย์ แม้ว่าตัวตนจริงๆ ของเจ้าจะไม่มีแม้แต่จรรยาบรรณใดๆ”

คำพูดแทงใจดำ ทำให้ชารีฟถึงกับหน้าเครียด ประกาศก้องว่าจะไม่มีการผ่าตัดเป็นอันขาด

ooooooo
ที่มา:ไทยรัฐ